ตอนที่อิ่งสือซันพบเบาะแสที่ซ่อนตัวของเห้อเหลียนฉี เห้อเหลียนฉีก็ถูกพวกตะกร้าสาน[1]ยิงจนพรุนเสียแล้ว ส่วนองค์ชายใหญ่กับเฉิงอ๋องก็เดินทางหาเหยื่อตัวอื่นต่อไป ขณะที่จากไปยังไม่วายใช้วาจาจิกกัดฟาดฟันอีกฝ่าย ว่าฝีมือการใช้ธนูเลวร้ายเกินบรรยาย แม้กระทั่งขนสักเส้นก็ยิงไม่โดน…
อิ่งสือซันพาเห้อเหลียนฉีที่หายใจรวยรินไปอยู่ต่อหน้าเยี่ยนจิ่วเฉา
เยี่ยนจิ่วเฉามองดูร่างพรุนที่อยู่ต่อหน้า “…”
“ผู้ใดเป็นคนทำ” เยี่ยนจิ่วเฉาถาม
อิ่งสือซันยกมือคำนับ “เป็นลูกธนูขององค์ชายใหญ่กับเฉิงอ๋องขอรับ”
ก่อนเข้าสู่สนาม ทุกคนจะได้รับธนูและลูกธนู ซึ่งลูกธนูจะมีป้ายกำกับว่าเป็นของผู้ใด เพื่อให้ง่ายต่อการแยกแยะว่าผู้ใดเป็นคนยิงเหยื่อ อิ่งสือซันกล่าวเพียงลูกธนูเป็นของเฉิงอ๋องกับองค์ชายใหญ่เท่านั้น เขาหาได้บอกว่าทั้งสองเป็นคนทำ เพราะอย่างไรตะกร้าสานของคุณชายก็เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมา มือใหม่เช่นพวกเขาทั้งสองก็นับว่ามีฝืมือใช้ได้ ไม่อย่างนั้นยอดฝีมืออย่างเห้อเหลียนฉีจะถูกมือใหม่สองคนยิงจนเป็นเยี่ยงนี้ได้หรือ? หรือจะเป็นดั่งในตำนานที่ว่านอนเฉยๆ ธนูก็พุ่งเข้าปัก เช่นนั้นก็คงจะโชคร้ายเกินไปกระมัง?
สิ่งที่อิ่งสือซันไม่รู้ก็คือเห้อเหลียนฉีนอนเฉยๆ ธนูก็พุ่งเข้าปักจริงๆ!
“เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีผู้ใดนำลูกธนูของพวกเขามาเพื่อใส่ความพวกเขา?” อิ่งสือซันถาม
เยี่ยนจิ่วเฉามองเขาด้วยท่าทางเย็นชา “นอกจากคุณชายผู้นี้ ยังมีผู้ใดอาจหาญถึงเพียงนี้?”
การปองร้ายทูตหนานจ้าวไม่ใช่ความผิดเล็กน้อย นอกจากคนบ้าอย่างคุณชายของเขาแล้ว คงไม่มีผู้ใดคิดน้อยทำเรื่องเช่นนี้ได้
แต่จะยกหางตัวเองเช่นนี้หรือ? ไม่ว่าจะอย่างไรก็เป็นคนที่แต่งงานแล้ว เลิกหลงตัวเองเสียทีมิได้หรือ?
มุมปากอิ่งสือซันกระตุก เอ่ยถามคุณชายที่ไร้ยางอาย “เช่นนี้จะทำอย่างไรต่อไปขอรับ?”
เยี่ยนจิ่วเฉาก้มลงมองเห้อเหลียนฉี เอ่ยอย่างสงบเยือกเย็น “จัดการให้แนบเนียนสักหน่อย”
อิ่งสือซันเข้าใจว่าเยี่ยนจิ่วเฉาหมายถึงอะไร เขาลากเห้อเหลียนที่เหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายลงไป
คุณชายลูบคันธนูในมืออย่างเบิกบาน ยามนี้เขาก็คงล่าสัตว์อย่างมีความสุขได้เสียที
ข่าวโชคร้ายของเห้อเหลียนฉีไม่ได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ทว่า ‘ผลคะแนนการล่า’ ในเขตล่าสัตว์ถูกขันทีส่งข่าวไปยังสวนเชยชมไม่ขาดสาย ส่วนใหญ่เป็นฮองเฮาที่ให้ความสนใจมาก นางกำชับขันทีที่ปฏิบัติหน้าที่ในเขตล่าสัตว์เป็นพิเศษ
เมื่อขันทีคาบข่าวกลับมาที่สวนเชยชมอีกครั้ง ฮองเฮาก็กำลังนำกลุ่มคนเดินไปตามทางเล็กๆ ที่ถูกปูด้วยหินไข่ห่าน ด้านหน้าเป็นสวนนก ซึ่งใช้เพิงสีเขียวให้ร่มเงา ด้านในมีนกน้อยบินไปมา เด็กอ้วนตัวน้อยอดใจไม่ไหว วิ่งออกไปชมนกชมไม้
ฝูหลิงและจื่อซูรีบวิ่งตามไป
องค์หญิงจิ่วให้อวี๋หวั่นจูงมือไปเงียบๆ อย่างว่าง่าย ใบหน้าของนางแดงระเรื่อ
“ผู้ใดล่าได้มากที่สุดหรือ?” ฮองเฮาตรัสถามด้วยรอยยิ้ม
ขันทีเอ่ยตามความเป็นจริง “องค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายสามนั้นกล้าหาญมาก เหยื่อที่เขาล่าได้เทียบได้กับองค์ชายรองแห่งซยงหนู ซยงหนูเป็นชนเผ่าบนหลังม้า การขี่ม้ายิงธนูเป็นจุดแข็งของพวกเขา เช่นเดียวกับคนในจงหยวนที่เชี่ยวชาญซื่อซูอู่จิง[2] ซึ่งชาวต่างชาติแทบจะจำไม่ได้
“เมื่อครู่ฝ่าบาทตรัสถามถึงพระชายาขององค์ชายสาม ว่าเหตุใดนางจึงไม่มาเขตล่าสัตว์ และได้ทราบว่ามารดาของนางไม่สบาย ฝ่าบาทจึงให้คนส่งโสมไปให้” ขันทีส่งข่าวรายงานอย่างแผ่วเบา
“อืม องค์ชายสามเก่งกาจไม่เบา ช่างเป็นหน้าเป็นตาแก่ต้าโจวยิ่งนัก” สีพระพักตร์ของฮองเฮาดูเปรมปรี ทว่าในใจของนางมีความสุขเช่นนี้หรือไม่นั้นมิอาจทราบ
หลังจากได้ยินคำเอ่ยของฮองเฮา สวี่เสียนเฟยก็หัวเราะเบาๆ “องค์ชายสามเหี้ยมหาญถึงเพียงนี้ องค์ชายคนอื่นๆ ก็คงไม่ต่างกันกระมัง?”
“เอ่อ…” ขันทีกำลังตกที่นั่งลำบาก ที่ไม่ต่างกันนักเป็นองค์ชายสี่ องค์ชายใหญ่กับเฉิงอ๋องกลับเอาแต่เดินไปมาอยู่ในป่า เฉิงอ๋องเก่งบุ๋น ย่อมไม่แปลกหากล่าไม่ได้ ทว่าองค์ชายใหญ่หาได้เป็นเช่นนั้น บู๊ก็ไม่ได้ บุ๋นก็ไม่ดี ไม่มีสิ่งใดโดดเด่น ช่างเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดเล็กน้อย
“องค์ชายล่าสิ่งใดได้บ้างหรือ” ประโยคคำถามของสวี่เสียนเฟยแฝงด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
ขันทีลอบมองพระพักตร์ของฮองเฮา ทว่าน่าเสียดายที่ฮองเฮาไม่อาจปฏิเสธคำถามนี้ได้ ดังนั้นขันทีจึงต้องฝืนใจทูลตอบ “องค์ชายสี่ล่าตัวลิ่น นก ไก่ไผ่คู่หนึ่ง และกระต่ายป่าพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ผู้ที่รู้จักกาลเทศะก็ควรหยุดแล้ว ทว่าสวี่เสียนเฟยเป็นผู้ที่รู้จักกาลเทศะหรือไม่เล่า?
“แล้วองค์ชายใหญ่กับเฉิงอ๋องเล่า?” สวี่เสียนเฟยถามอย่างสิ้นหวัง
ขันทีฝืนใจทูลอีกครั้ง “ไม่มีข่าวเกี่ยวกับทั้งสองพระองค์แจ้งมา ตอนที่คำนวณอาจมีการผิดพลาดตกหล่น อีกครู่หนึ่ง กระหม่อมจะไปดูอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ”
ความตั้งใจแรกของฮองเฮาที่ให้ความสนใจกับเขตล่าสัตว์ คือการทราบว่าบุตรชายของนางล่าได้เท่าใด และผลการเทียบกับพี่น้องของเขาเป็นอย่างไร ทว่าเมื่อขันทีทูลเช่นนี้ ก็ทราบได้ทันทีว่าบุตรชายของนางพ่ายแพ้ให้แก่น้องๆ ของเขา สตรีในวงศ์ตระกูลที่อยู่ข้างนาง ล้วนไม่กล้าทำให้นางอับอายต่อหน้าสาธารณะ มีเพียงสวี่เสียนเฟยที่กล้าประณามอย่างโจ่งแจ้งว่าองค์ชายใหญ่ไร้ความสามารถ นับเป็นการตบหน้าฮองเฮาอย่างแรง
หากฮองเฮาไม่เจ็บปวด สวี่เสียนเฟยก็คงเจ็บปวด
คิดว่าตนเองเป็นผู้ชนะอยู่ฝ่ายเดียวหรือ? ใต้หล้านี้มีเรื่องดีเช่นนั้นที่ใด?
สวี่เสียนเฟยจับมือของหานจิ้งซูและยิ้มอย่างอ่อนโยน “ไปกันเถิด ข้าจะพาเจ้าไปดูเสือ”
“เพคะ” หานจิ้งซูตอบรับอย่างแผ่วเบา
นับตั้งแต่วันแรกที่นางเลือกเยี่ยนไหวจิ่ง จวนอัครมหาเสนาบดีก็ถือว่าอยู่ฝั่งของสวี่เสียนเฟย นางจำต้องขัดแย้งกับฮองเฮา ทว่าก็เป็นเพียงจะเกิดขึ้นช้าหรือเร็วเท่านั้น
สวี่เสียนเฟยพาหานจิ้งซูออกไป ดวงตาของฮองเฮาฉายแววเยือกเย็น บรรดาสนมนางในด้านหลังต่างหลุบหน้าหลุบตา ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
แม้องค์หญิงจิ่วจะไม่เข้าใจสิ่งที่ผู้ใหญ่เอ่ย ทว่านางก็ยังรู้สึกว่าฮองเฮาโกรธ นางจึงเริ่มหวาดกลัวเล็กน้อย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]