“เลี้ยวหัวมุมด้านหน้าและเดินตรงไปอีกประมาณยี่สิบก้าวก็ถึงแล้วขอรับ” ขันทีผู้นำทางกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา
เมื่อเด็กน้อยทั้งสามได้ยินว่าใกล้จะถึงแล้ว พวกเขาก็รีบวิ่งไปข้างหน้า ขณะที่กำลังเลี้ยว เจ้าหนูทั้งสามก็ชนใครบางคนจนล้มลงกับพื้น
ทั้งสามคนลูบหัวด้วยความงวยงง
“ไอ้หยา!” ขันทีที่นำทางรีบวิ่งไปพยุงคุณชายน้อยทั้งสามคนขึ้นมา
หนูน้อยทั้งสามได้รับการเลี้ยงดูในหมู่บ้านเป็นเวลายี่สิบวัน พวกเขาแข็งแรงบึกบึนเสียยิ่งกว่าเถี่ยตั้นน้อย อวี๋หวั่นรู้ว่าพวกเขาทั้งสามไม่เป็นอะไร เธอเดินเข้าไปหาด้วยท่าทางสุขุมสง่างาม ที่มุมมีชายหนุ่มในชุดคลุมสีขาวขอบฟ้ายืนอยู่ อายุประมาณสิบเจ็ดหรือสิบแปดปี รูปร่างสูงผอม หน้าตาหล่อเหลา เขานั่งยองๆ มองดูเด็กน้อยทั้งสามอย่างอ่อนโยน “ข้าทำให้พวกเจ้าเจ็บรึไม่?”
เด็กอ้วนตัวน้อยทั้งสามเอียงศีรษะมองเขา
เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่เหมือนกับทูตหนานจ้าวที่อวี๋หวั่นเคยเห็นก่อนหน้านี้
เขายกมือขึ้นคำนับอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นตั้งใจมองดูเขาอีกครั้ง ทันใดนั้นก็เอ่ยว่า “ข้าจำท่านได้ ท่านเป็นศิษย์ของราชครูที่เมาล้มที่จวนเฉิงอ๋องในวันนั้น”
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ พลันสอดประสานกับสายตาที่จ้องมองของอวี๋หวั่น
ใบหน้าของชายผู้นี้ดูแปลกๆ ทว่ามีดวงตาคู่หนึ่งที่งดงามเกินธรรมดา ดวงตาสีดำสนิทดุจไข่มุกดำกลางสายธาร เหมือนดวงดาวสุกสกาวที่สุดในท้องฟ้ายามราตรี
“ท่านคือ…” ชายหนุ่มถามด้วยความงุนงง
ขันทีดุ “บังอาจนัก! นี่คือฮูหยินคุณชายเยี่ยน ยังไม่รีบมาคารวะอีก!”
ความประหลาดใจในดวงตาของชายหนุ่มจางหายไป “ท่านเองหรือ?”
ยามนี้ถึงคราวที่ขันทีหันมามองอย่างตกตะลึง เรียกกันเช่นนี้…หรือว่าฮูหยินน้อยกับเขารู้จักกัน?
อวี๋หวั่นยิ้มและพยักหน้า “ข้าเอง”
ราวกับเข้าใจว่าเขากำลังถามสิ่งใด
ชายหนุ่มคารวะอย่างเคารพเลื่อมใส “ข้าชื่อหวั่นเฟิง ขอบคุณฮูหยินน้อยที่ทำการรักษาข้า”
อวี๋หวั่นกล่าวว่า “เรื่องเล็กน้อย อาการบาดเจ็บของท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
หวั่นเฟิงตอบ “ฮูหยินน้อยเชี่ยวชาญการแพทย์ หวั่นเฟิงไม่มีปัญหาใดแล้ว”
บทสนทนานี้ไม่ใช่สิ่งที่ขันทีจะเข้าใจได้
“พวกเขาคือ…” หวั่นเฟิงจ้องมองไปที่เด็กชายตัวอ้วนกลมสามคนอย่างเลื่อนลอย
อวี๋หวั่นยกมุมปาก “บุตรชายของข้าเอง”
“อ๋า” หวั่นเฟิงมองอย่างประหลาดใจ
เด็กชายตัวอ้วนทั้งสามกอดอวี๋หวั่น หันศีรษะมองหวั่นเฟิงอย่างระมัดระวัง ราวกับท่านแม่เป็นของพวกเขา ผู้ใดก็ไม่อาจพรากไปจากพวกเขาได้
“จริงสิ โปรดอภัยให้ข้าด้วย เมื่อครู่ข้าเดินชนพวกเขา” หวั่นเฟิงเกาศีรษะ
เห็นอยู่ว่าเด็กๆ วิ่งไปชนเขาเอง อวี๋หวั่นยอมรับน้ำใจของเขาได้ ทว่าเธอไม่อาจปล่อยให้บุตรชายของเธอไม่เข้าใจว่าตนเองผิดตรงไหน อวี๋หวั่นไม่ได้ต่อว่าพวกเขา ทว่าเพียงแค่เฝ้าดูพวกเขาอย่างเงียบๆ
ในตอนแรกพวกเขาทั้งสามจ้องอวี๋หวั่นอย่างหวงแหน แต่ทำได้ไม่นาน หัวเล็กๆ ของพวกเขาก็ผงกลง
เข้าใจแล้ว ต่อไปไม่วิ่งแล้ว…
ต่อหน้าคนนอก อวี๋หวั่นไม่อาจทำให้เด็กน้อยลำบากใจมากเกินไป หลังจากอำลาหวั่นเฟิง เธอก็พาเด็กๆ ไปห้องสุขา
ขณะที่เดินผ่านหัวมุม ผู้อาวุโสที่ท่าทางลึกลับไม่เหมือนคนทั่วไปผู้หนึ่งกำลังเดินตรงมา อวี๋หวั่นไม่รู้จักเขา เธอจึงแค่พยักหน้าและเดินผ่านไป
ผู้อาวุโสพยักหน้าเล็กน้อยถือเป็นการทักทายอวี๋หวั่น
ไม่นาน อวี๋หวั่นและคนของเธอก็เดินจากไป
ผู้อาวุโสขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ท่านอาจารย์” หวั่นเฟิงเรียกเขา
ราชครูมองไปที่ด้านหลังของอวี๋หวั่นด้วยสีหน้าซับซ้อน “นางคือใคร?”
หวั่นเฟิงยิ้มและกล่าวว่า “เป็นภรรยาของคุณชายเยี่ยน นางเป็นคนที่รักษาข้าที่จวนเฉิงอ๋องวันนั้น ท่านอาจารย์ นางมีอันดีรึ?”
“ไม่มีอะไร” ราชครูถอนสายตา “การล่าจบแล้ว กลับวังกันเถิด”
“ยังไม่ได้เข้าเขตล่าสัตว์เลย…” หวั่นเฟิงพึมพำอย่างเสียใจ ไปลงสนามพร้อมกับทุกคนไม่ทันก็นับว่าแย่พอแล้ว เหตุใดแม้แต่เข้าไปดูก็ยังไม่ได้เข้าไป?
กวางที่ฮ่องเต้ล่ามาได้ถูกส่งให้พ่อครัวในสวนล่าสัตว์ไปทำเนื้อกวางย่างแสนอร่อย ทว่าสุดท้ายกลับไม่มีผู้ใดมีอารมณ์ที่จะกินเนื้อ ทูตแห่งหนานจ้าวถูกสัตว์ร้ายซุ่มโจมตี และเป้าหมายของการซุ่มโจมตีก็คือแม่ทัพเวยหย่วนผู้มีเกียรติและชื่อเสียงแห่งหนานจ้าว ว่ากันว่าอาการบาดเจ็บของเขาร้ายแรงมากจนหมดหนทางเยียวยา
ราชครูกล่าวว่า “ข้าจะไปดูหูโย่ว ใต้เท้าทั้งสองเชิญกลับไปก่อนเถิด หากมีข่าวอันใดข้าจะรีบแจ้งให้พวกท่านทราบในเช้าตรู่วันพรุ่งนี้”
ราชครูถอนหายใจ “เอาละ เช่นนั้นใต้เท้าตู้ไปดูท่านรองแม่ทัพหูกับข้า”
ใต้เท้าตู้เดินไปอย่างไม่ลังเล
รองแม่ทัพหูได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อราชครูและใต้เท้าตู้เข้ามาในห้อง เขาไม่สามารถลุกจากเตียงและคำนับพวกเขาได้ คนรับใช้ช่วยกันพยุงให้เขาเอนตัวนั่ง พร้อมกับวางหมอนใบใหญ่รองหลังให้เขาพิง
เขาต่อต้านความเจ็บปวดในร่างกาย ค้อมกายไปทางใต้เท้าทั้งสอง “ท่านราชครู ใต้เท้าตู้ ท่านแม่ทัพเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ไม่ต้องมากพิธี” ราชครูเอ่ย “หวั่นเฟิง เจ้าไปเฝ้าด้านนอก”
“ขอรับ” หวั่นเฟิงพาคนรับใช้ในห้องออกไป และเฝ้าหน้าประตูด้วยท่าทางระแวดระวัง
ราชครูกล่าวว่า “แม่ทัพไม่รอด”
กล่าวได้ว่าเห้อเหลียนฉีถูกตัดสินประหารชีวิต
รองแม่ทัพหูรู้สึกราวกับเลือดทุกหยดในร่างกายแข็งตัว “เป็นไปได้เยี่ยงไร? ท่านแม่ทัพมีวิทยายุทธ์แกร่งกล้า ไม่ว่าบาดเจ็บอย่างไรก็รอดมาได้ทุกครั้ง!”
มันคือข้อเท็จจริงที่ถูกตั้งไว้ ไม่อาจช่วยชีวิตเห้อเหลียนฉีได้แล้ว ส่วนเขาจะเชื่อหรือไม่ก็เป็นทางเลือกของรองแม่ทัพหู
ราชครูกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ในสองสามวันนี้แม่ทัพเห้อเหลียนได้พบกับผู้ใด และทำอันใดบ้างในเมืองหลวง บอกข้ามาตามความจริง”
รองแม่ทัพหูได้แต่พูดไม่ออก
หากราชครูถามว่าเกิดอะไรขึ้นในสนามล่าสัตว์ รองแม่ทัพหูกล่าวได้เป็นน้ำไหลไฟดับ บอกเล่าทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นได้ ทว่าหากถามถึงสองสามวันนี้…รองแม่ทัพหูไม่รู้ว่าควรบอกหรือไม่ควร
เมื่อเห็นท่าทีของเขาเช่นนี้ ใต้เท้าตู้ก็พลันขมวดคิ้ว
ราชครูมองเขาอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “แม่ทัพเห้อเหลียนเป็นผู้สืบทอดของสกุลเห้อเหลียน ความเป็นความตายของเขาเกี่ยวข้องกับประเทศ เจ้าคิดดูให้ดีเถิดว่าควรปิดบังมันไว้หรือไม่”
…………………………………………………….
[1] ที่รองกระถางต้นไม้ อุปมาว่าภายนอกดูดี แต่ใช้ประโยชน์ใดไม่ได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]