หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3] นิยาย บท 154

ฮ่องเต้จัดงานเลี้ยงอำลาให้แก่ทูตหนานจ้าวด้วยพระองค์เอง บรรดาเชื้อพระวงศ์และเหล่าขุนนางข้าราชบริพารชั้นสูงต่างก็ไปด้วยเช่นกัน ในบรรดาสมาชิกสตรีในราชวงศ์มีเพียงพระชายาเฉิงอ๋องเท่านั้นที่มีสถานะพิเศษได้รับอนุญาตให้มาพบลูกพี่ลูกน้องของนาง

ตั้งแต่รู้ว่าตนเองจะถูกบังคับให้แต่งงานกับองค์ชายแห่งต้าโจว พระชายาเฉิงอ๋องก็มักจะทะเลาะ บ่นว่าและเกลียดชังลูกพี่ลูกน้องของนาง ทว่าเมื่อต้องแยกจากกันจริงๆ นางกลับไม่อยากให้ลูกพี่ลูกน้องของนางจากไปมากที่สุด

ในความทรงจำของนางล้วนมีแต่เรื่องดีๆ ของท่านพี่ผู้นี้ นางนึกถึงครั้งแรกที่ได้ขี่ม้าเมื่อนางอายุได้เจ็ดขวบ นางวิ่งเร็วมากจนหลุดออกจากสายตาของทาสรับใช้และหลงทางอยู่ในทุ่งหญ้า ท่านพี่ผู้นี้เป็นคนแรกที่ตามหานางพบ เขาโอบนางเข้าสู่อ้อมแขนและเอ่ยกับนางว่า ‘หมิงจู ไม่ต้องกลัวนะ พี่อยู่นี่แล้ว’

นับจากนี้ไป พี่ชายจะมาไม่ได้อีกแล้ว…

“แง—”

พระชายาเฉิงอ๋องซุกตัวเข้าในอ้อมแขนขององค์ชายรองแห่งซยงหนูและเริ่มร้องไห้ออกมาโดยไม่คำนึงถึงภาพลักษณ์ของตนเอง

ยามนี้เป็นสตรีที่แต่งงานแล้ว ต่อให้เป็นพี่ชายแท้ๆ ก็ไม่อาจทำตัวเปิดเผยเช่นนี้ได้! ทุกคนส่ายศีรษะและมองไปที่เฉิงอ๋องที่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยความสงสาร เฉิงอ๋องทำได้เพียงหัวเราะแห้งๆ

องค์ชายรองแห่งซยงหนูและน้องสาวที่รักที่สุดของเขากำลังจะพรากจากกัน ราวกับหัวใจจะแหลกสลาย เขาไม่สนใจความคิดของคนอื่น พลันยกมือขึ้นปาดน้ำตาของนางและเอ่ยอย่างสะอึกสะอื้น “พี่ทำให้เจ้าต้องลำบากแล้ว ซยงหนูทำให้เจ้าต้องลำบากแล้ว”

พระชายาเฉิงอ๋องก็ร้องไห้หนักกว่าเดิม

องค์ชายรองแห่งซยงหนูรับรู้มาตลอดว่าน้องสาวผู้นี้อยากแต่งงานกับนกอินทรีในทุ่งกว้าง เป็นวีรบุรุษในสนามรบรูปร่างสูงสง่าดังเช่นอวี๋เซ่าชิงและเซียวเจิ้นถิง หาใช่เฉิงอ๋องที่ใบหน้าซีดขาว แม้เรี่ยวแรงจะจับไก่ก็ยังไม่มี ทว่าพวกเขาไม่มีทางเลือก

การแต่งงานครั้งนี้ถือเป็นการเข้าสวามิภักดิ์ของซยงหนู และเป็นบุญคุณของต้าโจว น้องสาวจะแต่งกับผู้ใด เป็นการตัดสินใจของฮ่องเต้แห่งต้าโจว พวกเขาไม่มีสิทธิ์เลือก

แต่หากคิดในแง่ดี เดิมทีจะได้เพียงแค่แต่งกับซื่อจื่อ[1]เท่านั้น ต้องขอบคุณเยี่ยนจิ่วเฉาที่ช่วยยกระดับให้สูงขึ้นถึงเพียงนี้ แม้ว่าเฉิงอ๋องจะไม่มีอำนาจที่แท้จริง ทว่าก็ไม่มีความเสี่ยงใดๆ เช่นกัน เขาไม่ขอสิ่งอื่นใด ขอเพียงแค่ให้น้องสาวของเขาได้ใช้ชีวิตครึ่งหลังอย่างสงบสุขในต้าโจวเท่านั้น

ในวันสุดท้ายของเดือนห้า คณะทูตแห่งซยงหนูได้เริ่มเดินทางกลับไปยังประเทศบ้านเกิด ทูตหนานจ้าวให้เห้อเหลียนฉีอยู่รักษาบาดแผลที่นี่ เนื่องจากเห้อเหลียนฉีได้รับบาดเจ็บหนักถึงเพียงนั้น ไม่ง่ายที่จะเคลื่อนไหว ฮ่องเต้ไม่ได้สงสัยอันใด จึงรับสั่งให้หมอหลวงเข้าไปดูแลทุกวัน

……………….

ในวันแรกของเดือนหก ฮ่องเต้ได้ออกพระราชกฤษฎีกาที่ท้องพระโรง ให้องค์ชายที่เป็นผู้ใหญ่แล้วทั้งหมดได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋อง องค์ชายใหญ่เป็นชิ่งอ๋อง องค์ชายรองเยี่ยนไหวจิ่งเป็นจิ้งอ๋อง องค์ชายสามเป็นอู่อ๋อง และองค์ชายสี่เป็นเจาอ๋อง

เยี่ยนจิ่วเฉาถูกแต่งตั้งเป็นซื่อจื่อ เขารับตำแหน่งนี้ด้วยความเต็มใจ และการสืบทอดตำแหน่งอ๋องก็อยู่อีกไม่ไกลแล้ว

หลังจากผ่านงานศพของเยี่ยนอ๋อง ฮ่องเต้ก็ตั้งใจให้เยี่ยนจิ่วเฉารับช่วงต่อในตำแหน่งอ๋อง ทว่าเด็กผู้นี้ก็ปฏิเสธหัวชนฝา ไม่เพียงแต่ไม่รับตำแหน่งอ๋อง กระทั่งตำแหน่งซื่อจื่อก็ยังไม่ยอมรับ แต่ในที่สุดเขาก็คิดได้แล้ว

เยี่ยนจิ่วเฉาเป็นซื่อจื่อแล้ว เช่นนั้นเธอก็เป็นพระชายาซื่อจื่อ อวี๋หวั่นดีใจยิ่งนัก ทว่าเรื่องน่าดีใจหาได้มีเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียว ผลสอบของอวี๋ซงประกาศแล้ว เขาได้อับดับหกของห้องสอง

ผลสอบของอวี๋ซงทำให้อวี๋หวั่นดีใจออกหน้าออกตา พี่รองเข้าเรียนได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน ก็ได้อยู่อันดับหกของห้อง แม้ว่าห้องเรียนของพี่รองจะเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในสำนักบัณฑิต ทว่าสอบได้ถึงระดับนี้ก็ไม่เลวเลยทีเดียว เจี้ยนเซิงสามสิบสามคน พี่รองเข้าเรียนช้าที่สุดและมีพื้นฐานแย่ที่สุด เธอเคยคิดว่าคงได้อันดับสุดท้าย ไหนเลยกลับทะยานขึ้นมาเป็นหนึ่งในสิบคนแรกของห้อง

ข่าวนี้เจียงเสี่ยวอู่เป็นคนนำมา หลังจากเนรเทศซูมู่ ลุงวั่นก็ถูกเยี่ยนจิ่วเฉาพากลับไปที่เมืองเยี่ยน เปลือกนอกเข้าใจว่าให้ลุงวั่นกลับไปดูแลจวนเยี่ยนอ๋อง ทว่าผู้มีสายตาเฉียบแหลมก็คงมองออกว่ามันคือการลงโทษลุงวั่นเพราะเรื่องซูมู่

เจียงเสี่ยวอู่ได้ถามถึงผลการเรียนของอวี๋ซง และถามเผื่อถึงผลการเรียนของจ้าวเหิงด้วยเช่นกัน จ้าวเหิงเป็นเจี้ยนเซิงของเฉิงซินถัง ซึ่งเป็นห้องที่ดีที่สุดของชั้นปีที่สอง ไม่น่าแปลกใจที่เขาได้อันดับหนึ่งอีกครั้ง

จ้าวเหิงไม่ขาดแคลนทั้งความสามารถและความขยันหมั่นเพียร เขาสอบผ่านระดับซิ่วไฉตั้งแต่ปีแรกๆ อวี๋หวั่นไม่อยากเอาพี่รองของเธอไปเปรียบเทียบกับเขา เธอเชื่อว่าพี่รองมีแนวโน้มที่ดีก็เพียงพอแล้ว

อวี๋หวั่นอดใจรอจะบอกข่าวนี้กับครอบครัวแทบไม่ไหว ทว่าเธอจำได้ว่าเยี่ยนจิ่วเฉาได้ถามถึงผลการเรียนของอวี๋ซงเช่นกัน เธอจึงลงมือทำขนมด้วยตนเองและให้เจียงเสี่ยวอู่นำไปเน่ย์เก๋อ[2] และบอกเรื่องของพี่รองและแผนที่เธอตระเตรียมไว้

หลังจากเจียงเสี่ยวอู่จากไป อวี๋หวั่นก็ไปหาบุตรชาย

ตั้งแต่รู้ว่าสุนัขจิ้งจอกตัวน้อยเป็นสายพันธุ์เดียวกับในสวนสัตว์ เหล่าเด็กอ้วนก็กอดมันไม่วางมือตลอดทั้งวัน ไม่ว่าจะไปที่ใดก็กอดมันไปด้วยทุกที่ สามพี่น้องผลัดกันกอดมัน ยังมีแมวป่วยอีกตัวที่ถูกเก็บมาเลี้ยงในตอนแรก มันถูกอวี๋หวั่นใช้ชาดวาดตัวอักษรคำว่ากษัตริย์(王)บนหน้าผาก เด็กๆ จึงมองว่ามันเป็นลูกเสือ และรู้สึกชื่นชอบจนไม่อาจวางมันลงได้

ขณะที่อวี๋หวั่นกำลังเดินไปที่ประตูสวน ก็ได้ยินเสียงเด็กอ้วนทั้งสามหัวเราะคิกคักดังลั่น ในจวนพวกเขาไม่เคยหัวเราะดังขนาดนี้มาก่อน หรือพวกเขาสนุกสนานกับสัตว์ร้ายตัวน้อยทั้งสองจริงๆ?

บุตรชายมีความสุข เธอก็จะมีความสุขเช่นกัน

มุมปากของอวี๋หวั่นยกยิ้มโดยไม่รู้ตัว พร้อมกับย่างก้าวเข้าไปในสวน

เมื่อเด็กอ้วนทั้งสามเห็นเธอ พวกเขาก็หันกลับมาและมองเธออย่างออดอ้อน มือน้อยๆ หลบอยู่ข้างหลังราวกับว่ากำลังซ่อนอะไรบางอย่าง

อวี๋หวั่นยิ้มด้วยความสงสัย “มีของอันใดที่ไม่อาจให้แม่ดูได้หรือ?”

ทั้งสามทำท่าให้ดูน่ารัก ใสซื่อ ไร้เดียงสา!

ไม่ให้ดูหรอก

พวกเขาโตมากกว่าเดิมครึ่งปี มีความคิดของตนเองมากขึ้น และไม่ได้เชื่อฟังคำพูดของเธอเหมือนตอนที่ยังเป็นเด็ก

อนิจจา บุตรชายเติบโตขึ้น แม่ใจหายยิ่งนัก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]