ตกดึก เยี่ยนอ๋องก็กลับมาถึงเรือน
จวนแห่งนี้คึกคักในตอนกลางวัน ตกกลางคืนก็กลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง ทำให้หัวใจรู้สึกว่างเปล่าอย่างบอกไม่ถูก
เขาหยิบภาพวาดซึ่งยังวาดค้างอยู่ออกมา แล้วยกพู่กันขึ้นมาวาดต่อจนเสร็จ
ภาพที่เขาวาดก็คือจื่อจวินและเยี่ยนจิ่วเฉาครั้งยังเป็นทารกในห่อผ้า คนที่เขารักมาตลอดชีวิต แน่นอนว่าในตอนนี้เขามีคนที่เขาสามารถมอบความรักให้มากกว่า แต่สองคนนี้ก็ได้ครอบครองพื้นที่ส่วนหนึ่งในหัวใจของเขา และจะไม่มีผู้ใดมาแทนที่ได้ไปตลอดกาล
เยี่ยนอ๋องใช้เวลาครึ่งชั่วยามไปกับภาพวาด จื่อจวินที่เขาวาดนั้นมีใบหน้าอ่อนโยน ประหนึ่งนางยังคงรักเขาเหมือนเดิม ส่วนเยี่ยนจิ่วเฉาในห่อผ้ากำลังหลับสบาย เขาไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงร่างกายของเยี่ยนจิ่วเฉา และไม่จำเป็นต้องเป็นทุกข์กับการชิงดีชิงเด่นในราชสำนัก ครอบครัวที่มีสามคนของเขานั้นมีความสุขบนความเรียบง่าย
เขาวางพู่กันลง มองดูผลงานของตนเองด้วยความพึงพอใจ ขณะที่กำลังคิดว่าควรไปนอนได้แล้ว เด็กน้อยทั้งสามก็เดินใส่ชุดนอน พร้อมกับกอดหมอนคนละใบมาหาเขาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
“เป็นอะไร จะนอนกับข้าหรือ?” เยี่ยนอ๋องมองเด็กทั้งสามอย่างอ่อนโยน
เด็กทั้งสามน้ำตารื้น แล้วโผเข้าหาเขา
ถูกท่านแม่ตี แง้~
วันต่อมา เรื่องที่เยี่ยนไหวจิ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาท และเยี่ยนจิ่วเฉาได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋องผู้สำเร็จราชการก็แพร่สะพัดออกไปทั่วทั้งเมืองหลวง ทุกคนที่รู้ข่าวนี้ล้วนแต่รู้สึกงุนงง เกิดอะไรขึ้น เจ้านั่นได้เป็นอ๋อง ทั้งยังได้เป็นผู้สำเร็จราชการอีกหรือ? เจ้าไม่ได้อำข้าเล่นใช่ไหม!!!
เจ้านั่นก็เป็นคนบ้ากับงูพิษดีๆ นี่เอง พวกเขารู้ว่าฮ่องเต้ทรงเอ็นดูเขามาก แต่อย่าเอาชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรมาล้อเล่นไม่ได้หรืออย่างไร? ฮ่องเต้ต้องประชวรหนักขนาดไหนถึงได้สติสัมปชัญญะเลอะเลือนจนแต่งตั้งเจ้าบ้านั่นให้เป็นอ๋องผู้สำเร็จราชการ?
ชาวบ้านต่างบ่นกันระงม!
เยี่ยนจิ่วเฉาออกไปซื้อถังหูลู่ให้เด็กทั้งสาม เพื่อปลอบประโลมจิตวิญญาณน้อยๆ ของพวกเขาหลังจากถูกแม่ตี ทันทีที่เดินมาถึงร้านขายถังหูลู่ ก็ได้ยินชาวบ้านซึ่งกำลังซื้อของอยู่ที่ร้านอื่นกำลังถกเถียงกัน
“อ๋า เยี่ยนจิ่วเฉาหรือ?”
“ชู่ว เจ้ากล้าพูดชื่อของเขาโดยตรงเชียวรึ? ไม่กลัวโดนบั่นคอหรืออย่างไร! เจ้านั่นมันเป็นคนบ้า! บ้ามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว! หลังจากนี้ก็คงบ้ากว่าเดิมเสียอีก!”
“น่า…น่ากลัวขนาดนั้นเชียวหรือ?”
“จะไม่น่ากลัวได้อย่างไร? ข้าจะบอกพวกเจ้าให้ พ่อบ้านของบ้านลุงรองของข้าเห็นกับตา! มีคนพูดจาล่วงเกินเขา เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง ลากคนคนนั้นลงมาเลยละ!” ผู้พูดยกมือขึ้นมาทำท่าปาดคอ นั่นหมายความว่าเขาถูกฆ่าตาย
ทุกคนหายใจเข้าเฮือกหนึ่งด้วยความตกใจ!
มีที่ไหนกัน พูดไม่เข้าหูเพียงเล็กน้อยก็ฆ่าทิ้ง? นี่มันบ้าอำนาจชัดๆ!
“เรื่องตั้งแต่เมื่อใดกัน เหตุใดข้าถึงไม่รู้?” เยี่ยนจิ่วเฉายื่นหน้าเข้าไปร่วมวง
บุรุษฉกรรจ์กำลังเล่าเรื่องอย่างออกรสออกชาติ จึงไม่ได้สังเกตว่าผู้ที่ถามนั้นเป็นบุรุษหนุ่มแต่งตัวดีต่างจากชาวบ้านทั่วไป เขาจึงทำเสียง ‘จุ๊ๆๆ’ แล้วตอบว่า “เรื่องพรรค์นี้จะไปเล่าให้คนเขารู้ทั่วได้อย่างไรกัน? ขืนพูดออกไปได้ถูกฆ่าล้างตระกูลกันพอดี!”
เยี่ยนจิ่วเฉาร้อง ‘โอ้ ’ จากนั้นจึงถามว่า “แล้วเหตุใดพ่อบ้านของบ้านลุงรองของเจ้ายังไม่ถูกฆ่าล้างตระกูลอีกเล่า?”
บุรุษฉกรรจ์ชะงักไป เจ้านี่มาจากไหนกัน? พูดอะไรของเขา?
ผู้คนต่างหันไปมองบุรุษฉกรรจ์เป็นตาเดียว
บุรุษฉกรรจ์กระแอม เพื่อที่จะพิสูจน์ว่าตนไม่ได้โกหก เขาจึงอธิบายให้ยิ่งละเอียดกว่าเดิม “จริงๆ นะ ข้าไม่ได้หลอกพวกเจ้า ที่ตรอกหลิ่วเยี่ย คุณชายคนนั้นเมา แล้วก็ไปด่าเขา คำพูดที่ออกจากปากคนเมา ใครไหนเลยจะไปถือสาใช่ไหมเล่า? แต่เขากลับจับคุณชายคนนั้นไปจัดการ! พวกเจ้าว่าหากให้คนประเภทนี้มาดูแลกิจการบ้านเมือง ชาวบ้านอย่างพวกเราจะมีชีวิตที่ดีได้หรือ?”
พูดถึงตรอกหลิ่วเยี่ย เยี่ยนจิ่วเฉาจึงนึกได้ว่ามีเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงๆ เขาหัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าพูดผิดแล้ว เขาไม่ได้จัดการคนนั้นเพียงคนเดียว เขาจัดการพวกเขาทั้งตระกูล พวกเจ้าไม่รู้หรือ? คนผู้นั้นแซ่หู นายท่านจวนสกุลหูเคยเป็นขุนนางในราชสำนัก คุณชายหูเป็นหลานสายตรงของเขาเพียงคนเดียว”
“อ่า น้องชาย ที่แท้เจ้าก็รู้ตื้นลึกหนาบางของเรื่องนี้”
อย่างนี้ค่อยคุยกันได้หน่อย!
บุรุษฉกรรจ์เริ่มมองเยี่ยนจิ่วเฉาในแง่ดีมากขึ้น “น้องชาย เจ้ารู้เรื่องอะไรมาอีกหรือ?”
เยี่ยนจิ่วเฉาตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ข้ารู้ว่า คุณชายหูคนนั้นไม่ได้หลุดปากพูดเพราะเมามาย แต่เขาใช้การเมาสุราเป็นข้ออ้างไปล่วงเกินหญิงสาวคนหนึ่ง หญิงสาวคนนั้นไปแจ้งต่อทางการ แต่กลับถูกนายท่านหูบีบบังคับให้ปิดปากเงียบ นางไม่อาจฟ้องร้องเขาได้ มิหนำซ้ำยังถูกไล่ออกมาจากจวนสกุลหู คุณชายหูได้ใจ ยังคงทำตัวสำมะเลเทเมาต่อไป และบังเอิญมาพบคุณชายเยี่ยนเข้า”
บุรุษฉกรรจ์ถลึงตาตวาดลั่น “น้องชาย! เจ้าอย่าพูดพล่อยๆ! คุณชายหูกับใต้เท้าหูเป็นคนดี!”
เยี่ยนจิ่วเฉาจึงถามว่า “เจ้าเคยพบเขาหรือ? ถึงบอกว่าพวกเขาเป็นคนดี”
บุรุษฉกรรจ์พูดด้วยความเดือดดาล “แล้วเจ้าเคยพบหรืออย่างไร? ถึงบอกว่าพวกเขาเป็นคนเลว!”
เยี่ยนจิ่วเฉาตอบอย่างไม่ยี่หระว่า “คนข้าก็เป็นคนฆ่า ตราประทับทางการของใต้เท้าหู ข้าก็เป็นคนทำลาย เจ้าว่าข้าเคยพบหรือไม่เล่า?”
บุรุษฉกรรจ์ขมวดคิ้ว “เจ้า…เจ้าเป็นใครกัน”
เยี่ยนจิ่วเฉาโน้มตัวเข้าไปหาบุรุษฉกรรจ์ “นินทาข้าลับหลังอยู่เสียนาน แต่กลับจำข้าไม่ได้?”
บุรุษฉกรรจ์ประมวลคำพูดนั้นอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็ตัวสั่นเทิ้ม “เยี่ยน…เยี่ยนๆๆๆๆๆ…เยี่ยนจิ่วเฉา?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]