เซียวเจิ้นถิงกัดฟันเอ่ย “หากเจ้าสามารถรักษาอาการติดพิษของซื่อจื่อได้ ข้าจะยอมไว้ชีวิตไร้ค่าของเจ้าสักครา!”
ชุยเฒ่าตกตะลึงก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า ‘ซื่อจื่อ’ ในความหมายของเขาคือบุตรบุญธรรมของเขา เยี่ยนจิ่วเฉา ใช่แล้ว ในที่สุดเจ้าสวะนั่นก็ยอมรับตำแหน่งซื่อจื่อเยี่ยนอ๋อง เขาคงยังรักบุตรบุญธรรมผู้นี้มาก กระทั่งการแก้แค้นให้หวั่นเจาอี๋ก็ยอมแลกเพื่อบุตรบุญธรรม…
เพียงครู่หนึ่ง ชุยเฒ่าก็รวบรวมความคิด “ครั้งหนึ่งข้าเคยสาบานด้วยชีวิตว่าจะไม่ใช้ทักษะการแพทย์ของสกุลชุยรักษาอีก”
อิ่งสือซันตวัดดาบลงมา “เช่นนั้นเจ้าคงอยากตาย!”
ใบมีดดาบแนบอยู่ที่คอของชุยเฒ่า ชุยเฒ่าตกใจขวัญหนีดีฝ่อ “แต่…แต่ แต่…ข้ายังเอ่ยไม่จบ!”
ปลายดาบของอิ่งสือซันหยุดนิ่ง
เหงื่อเย็นของชุยเฒ่าพลันผุดออกมา “ข้าบอกเพียงจะไม่ใช้ทักษะการแพทย์รักษา แต่ไม่ได้บอกว่าไม่สามารถสอนคนอื่นได้”
ทุกคนมองเขาด้วยความแปลกใจ
เขามองอวี๋หวั่นที่อยู่ด้านข้าง “เจ้าไปตรวจชีพจร และบอกชีพจรให้ข้าทราบ”
นี่จะไม่ทำให้มันซับซ้อนเกินไปหรือ?
ทุกคนจับจ้องไปที่เขา แต่สุดท้ายก็ไม่ได้บีบบังคับเขา และให้เป็นการตัดสินใจของอวี๋หวั่น
แค่วุ่นวายมากขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น แต่ขอเพียงช่วยเยี่ยนจิ่วเฉาได้ อวี๋หวั่นก็ไม่รังเกียจ
ระหว่างทางกลับไปที่ห้อง อวี๋หวั่นบอกชุยเฒ่าเรื่องที่เยี่ยนจิ่วเฉาเคยติดพิษตู๋โจ้วของหนานเจียง หากจะให้เขารักษา ก็จำต้องบอกอาการของเยี่ยนจิ่วเฉาตามความเป็นจริง
“ดูท่านไม่ตกใจ ทำไมรึ? ท่านรู้เรื่องพิษตู๋โจ้วของเยี่ยนจิ่วเฉามาก่อนหรือ?” อวี๋หวั่นมองสีหน้าท่าทางของเขา
ตอนแรกก็ไม่รู้ แต่หลังจากเยี่ยนไหวจิ่งให้เขา ‘ขาย’ ตำราการแพทย์ของสกุลชุยให้กับอวี๋หวั่นถึงได้รู้
ชุยเฒ่ากระแอมในลำคอ “อย่างไรข้าก็เคยอยู่กับพระสนมเสียนเฟย ข้าจะไม่รู้ความลับนี้เลยหรือ?”
อวี๋หวั่นเหลือบมอง ไม่รู้ว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่อวี๋หวั่นก็ไม่ได้ถามต่อ อย่างไรเสียมันก็ไม่ใช่เรื่องที่จำเป็น
เมื่ออวี๋หวั่นกลับไปถึงห้อง ก็ตรวจสอบชีพจรของเยี่ยนจิ่วเฉาอีกครั้ง ตามคำบอกของชุยเฒ่า สภาพชีพจรบางส่วนไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในตำราการแพทย์ เธอจึงไม่อาจบอกได้ว่าเป็นชีพจรแบบใด จึงทำได้เพียงอธิบายอย่างละเอียดให้ชุยเฒ่าฟัง
“ปลายนิ้วของเขาเปลี่ยนเป็นสีดำหรือสีม่วง?”
“สีม่วง”
“จุดอิ้งถังละ?”
“เป็นสีม่วงเช่นกัน”
คนที่ถูกวางยาจุดอิ้งถังมักเป็นสีดำ เล็บก็เป็นสีดำ เห็นได้ชัดว่าพิษที่เยี่ยนจิ่วเฉาโดนไม่ใช่พิษธรรมดา
หน้าเตียงของเยี่ยนจิ่วเฉามีฉากกั้น ชุยเฒ่ายืนอยู่หลังฉากกั้นนั้น เขาถามอวี๋หวั่นตอบ เขาให้อวี๋หวั่นตรวจอย่างไร อวี๋หวั่นก็ตรวจอย่างนั้น เมื่อมีขั้นตอนมากขึ้น การวินิจฉัยก็ไม่ได้สะดวกเหมือนทำเอง
กลุ่มเซียวเจิ้นถิงทั้งสามยืนอยู่นอกประตูด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
อิ่งลิ่วเกาศีรษะพลางบ่นพึมพำ “คนแซ่ชุยนี่ไม่น่ารำคาญเกินไปหรือ? นี่มันต่างอย่างไรกับการลงมือตรวจเอง? ไม่ใช่แค่มีมือเพิ่มมาอีกหนึ่งมือรึ? อย่างไรเสียคนจ่ายยารักษาก็ต้องเป็นเขา! จะไม่ใช่การหลอกตนเองหรอกรึ?”
“สาบานด้วยชีวิตไปแล้ว ย่อมมีความรักตัวกลัวตายไม่มากก็น้อย” อิ่งสือซันกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและความอดทนที่หาได้ยาก
“ทว่าเช่นนี้ไม่กลัววินิจฉัยผิดหรือ?” อิ่งลิ่วที่เคยรู้สึกว่าแค่มีขั้นตอนมากขึ้นหนึ่งขั้นตอนก่อนหน้านี้ กลับเริ่มสงสัยในความเป็นไปได้ของวิธีนี้ขึ้นมา
อิ่งสือซันกล่าว “ฮองเฮาและสนมเอกทุกพระองค์ในราชสำนักตั้งแต่อดีตล้วนต้องตรวจรักษาด้วยวิธีนี้”
ในอดีตเพื่อป้องกันการใกล้ชิดระหว่างบุรุษกับสตรี หมอหลวงไม่ได้รับอนุญาตให้ตรวจรักษาฮองเฮาและสนมเอกโดยตรง แต่จะมีหมอหญิงคอยจับชีพจรแล้วรายงานให้หมอหลวงวินิจฉัย แน่นอนว่าเกิดการวินิจฉัยที่ผิดพลาดบ่อยครั้ง แต่เมื่อทักษะการแพทย์ของหมอหญิงดีขึ้น โอกาสในการวินิจฉัยผิดก็ยิ่งน้อยลง
“เจ้าลองกดใต้สะดือของเขาหนึ่งนิ้ว เขามีอาการเจ็บปวดหรือไม่?”
ชุยเฒ่ากล่าว
เมื่ออวี๋หวั่นกด คิ้วของเยี่ยนจิ่วเฉาพลันขมวดแน่นอย่างทนไม่ไหวแม้ว่าเขาจะหลับอยู่ก็ตาม
“มี” อวี๋หวั่นกล่าว
ชุยเฒ่าทอดถอนใจ “ข้าคิดว่าข้ารู้แล้วว่าเป็นพิษใด”
“พิษอันใดรึ? “เซียวเจิ้นถิงถาม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]