หวั่นเจาอี๋นั่งอยู่บนเตียงด้วยเสื้อผ้าเรียบๆ ทว่ายากจะซ่อนความงดงามของเรือนร่างและหน้าตาของนางได้ หญิงงามในวังหลังมีมากมายราวกับเมฆบนท้องฟ้า ทว่าผ่านไปหลายปี หวั่นเจาอี๋ก็ไม่เคยถูกฮ่องเต้ลืมเลือน นางไม่ได้มีอำนาจจัดการวังหลังเหมือนสวี่เสียนเฟย ไม่มีแม้กระทั่งบุตรของตนเอง
หากในใจซ่อนไว้ด้วยบทกวี แม้นผ่านไปหลายปีความงดงามไม่เสื่อมคลาย บังเอิญที่พระสนมหวั่นเจาอี๋ผู้นี้เป็นสตรีที่เต็มไปด้วยพรสวรรค์
อวี๋หวั่นพาฝูหลิงเข้ามาคารวะ “พระสนม”
หวั่นเจาอี๋เคยพบอวี๋หวั่นครั้งหนึ่งที่ด้านนอกห้องทรงพระอักษร นางไม่ได้ตกตะลึงกับรูปลักษณ์งดงามของเธอ ทว่ากลับเป็นฝูหลิงผู้ห้าใหญ่สามหนา[1]ที่ยืนอยู่ด้านข้างแทน
อวี๋หวั่นมองฝูหลิงที่อยู่อีกด้านหนึ่ง “ฝูหลิง”
ฝูหลิงเข้าใจดี จึงส่งตะกร้าผลไม้ไปให้อวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นรับตะกร้าผลไม้และเดินเข้าไปข้างหน้า “พระสนมเจาอี๋ ผลไม้เหล่านี้ปลูกจากจวนคุณชาย หม่อมฉันล้างและใช้น้ำสะอาดในบ่อแช่ให้เย็น ยามนี้กำลังเย็นพอดี พระสนมลองชิมดูสิเพคะ”
ปลายนิ้วเรียวยาวของหวั่นเจาอี๋ยื่นหยิบลูกหลี่จื่อสีแดงก่ำมากัดเบาๆ คำหนึ่ง
ลูกหลี่จื่อที่สุกงอม มีน้ำฉ่ำของผลไม้พุ่งออกมาในทันทีที่ผิวผลปริ หวั่นเจาอี๋ทำหกลงสองหยดโดยไม่ทันคาดคิด นางรีบใช้ผ้าเช็ดหน้าจับไว้อย่างสง่างาม
กลิ่นหอมหวานละลายแทรกในริมฝีปากและซี่ฟัน พร้อมกับความเย็นของน้ำ ทำให้ความร้อนในช่วงเวลานี้สลายหายไปโดยพลัน
หวั่นเจาอี๋กล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “หวานกว่าของในวังเสียอีก”
อวี๋หวั่นยิ้มและเอ่ยว่า “หากพระสนมโปรดปราน คราหน้าหม่อมฉันจะเก็บมาให้พระสนมอีกนะเพคะ”
“ไยต้องทำให้เจ้าลำบากด้วยเล่า?” หวั่นเจาอี๋กล่าวอย่างสุภาพ
อวี๋หวั่นกล่าวว่า “หาได้ลำบากเพคะ ได้มอบผลไม้ให้พระสนมนับว่าเป็นเกียรติของหม่อมฉัน อีกอย่าง…หม่อมฉันกับนายท่านเซียวอู่ก็มีมิตรภาพต่อกัน”
“โอ้?” ความประหลาดใจฉายชัดในดวงตาของหวั่นเจาอี๋
แม้จะเป็นพี่น้องแท้ๆ ทว่าหวั่นเจาอี๋อยู่ในวังมานาน นางไม่ได้พบน้องชายของนางบ่อยนัก แม้จะพบนายท่านเซียวอู่แต่ก็ไม่อาจพูดคุยเรื่องธุระกันได้ ดังนั้นที่หวั่นเจาอี๋ไม่ทราบว่านางมีความสัมพันธ์กับนายท่านเซียวอู่ก็สมเหตุสมผล
“เดิมทีผู้จัดการชุยของหอหยกขาว…” อวี๋หวั่นเล่าเรื่องที่ผู้จัดการชุยแนะนำนายท่านเซียวอู่ที่มาทำการค้า และเรื่องที่สกุลอวี๋เข้าไปจัดงานเลี้ยงให้ฮูหยินผู้เฒ่าเว่ยที่จวนสกุลเว่ยให้นางฟัง
นกตัวอื่นเมื่อบินถึงกิ่งไม้สูงก็กลายเป็นหงส์ รีบสลัดคราบทิ้งอดีตวางตัวสูงส่ง ทว่าอวี๋หวั่นกลับมิได้อับอายที่จะกล่าวถึงอดีต และมอบประสบการณ์ในอดีตให้กับผู้คนด้วยความใจกว้างเยือกเย็น ความกระดากอายและลำบากใจไม่เคยมีแม้แต่น้อย
กิริยาของหวั่นเจาอี๋ที่กำลังทานผลหลี่จื่อผ่อนช้าลง สายตาของนางตกกระทบกับใบหน้าขาวของอวี๋หวั่น ใบหน้าของสตรีอายุสิบแปดค่อยๆ เติบโตงดงามไร้ที่ติ ขนคิ้วทุกเส้นราวกับเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความอ่อนเยาว์
หวั่นเจาอี๋ก็เคยอยู่ในวัยนี้มาก่อน ทว่านางไม่สามารถย้อนกลับไปได้อีกแล้ว
“แท้จริงแล้วหม่อมฉันก็เคยได้ยินสามีเอ่ยถึงพระสนมมาก่อน” อวี๋หวั่นแย้มยิ้มไปทั้งหน้าราวกับว่าไม่ได้สังเกตเห็นหวั่นเจาอี๋ที่กำลังจ้องมองตน
หวั่นเจาอี๋คลี่ยิ้ม “ซื่อจื่อเขา…เอ่ยถึงข้าว่าอย่างไรหรือ?”
อวี๋หวั่นยิ้มและเอ่ยว่า “ซื่อจื่อบอกว่าเคยพบพระสนมตอนที่เขายังเด็ก พระสนมยังเคยป้อนอาหารเขาด้วย”
เมื่ออวี๋หวั่นเอ่ยเช่นนี้แล้ว ก็มองดูสีหน้าของหวั่นเจาอี๋ เธอไม่ได้บอกว่าเป็นปีใด ทว่าตราบใดที่หวั่นเจาอี๋เป็นคนวางยาเยี่ยนจิ่วเฉา ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้สึกผิดหลังจากได้ยินเรื่องนี้
สิ่งเดียวที่ทำให้อวี๋หวั่นรู้สึกประหลาดใจ คือสีหน้าของหวั่นเจาอี๋ไม่มีความผิดปกติใดๆ นางเพียงนึกด้วยความสับสนและกล่าวพึมพำ “จริงรึ? เรื่องเมื่อคราใด ข้าจำไม่ได้แล้ว”
อวี๋หวั่นหลุบสายตาลง หรือว่าเธอคิดมากเกินไปจริงๆ หวั่นเจาอี๋เป็นผู้บริสุทธิ์? คนร้ายเป็นคนอื่นอย่างนั้นหรือ?
“เจ้าก็กินสิ” หวั่นเจาอี๋หยิบผลหลี่จื่อยื่นให้อวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นรับมา แววตาพลันสั่นไหว และกล่าวต่อด้วยรอยยิ้ม “หม่อมฉันไปที่จวนแม่ทัพใหญ่เซียวเมื่อสองสามวันก่อน ได้ยินคนในจวนคุยกันว่าพระสนมหวั่นเจาอี๋เคยอยู่ที่จวนมาก่อน”
เธอไม่ได้ฟังคนรับใช้กล่าวมา ทว่าเป็นคำพูดของชุยเฒ่า แต่หวั่นเจาอี๋ก็คงเดาไม่ออก อย่างไรนางก็ไม่ได้อยู่ที่จวนสกุลเซียวมาหลายปีแล้ว ย่อมไม่รู้ว่าสถานการณ์ของจวนสกุลเซียวในยามนี้เป็นอย่างไร
หวั่นเจาอี๋ชะงัก วางผลหลี่จื่อลงพลางเอ่ยว่า “อา มันเป็นเรื่องก่อนที่ข้าจะมาเข้าวัง ฮูหยินผู้เฒ่าแค่รู้สึกเหงา จึงให้ข้าอยู่เป็นเพื่อนในจวนไม่กี่วันเท่านั้น”
“ฮูหยินผู้เฒ่าชื่นชอบพระสนมยิ่งนัก หากไม่ใช่มารดาแท้ๆ เกรงว่าพระสนมคงจะได้แต่งงานกับแม่ทัพใหญ่เซียวแล้วกระมัง” อวี๋หวั่นทำตัวราวกับเด็กที่ชอบซุบซิบนินทา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]