วัดต้าเจว๋ตั้งอยู่บนยอดเขาต้าเจว๋ ซึ่งล้อมรอบไปด้วยภูเขาและน้ำ เรียกได้ว่ามีสภาพแวดล้อมที่เหมาะแก่การฝึกตน มีเสียงนกร้องเจื้อยแจ้วและกลิ่นบุปผาหอม
เพียงแต่มีสภาพอากาศที่ร้อนจัด อวี๋หวั่นเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่บางเบาและเย็นสบายที่สุด แต่ก็ยังเหงื่อออกชุ่มกาย โชคดีที่เธอเคยทำงานหนัก เคยชินกับการเหงื่อออก แม้องค์หญิงจิ่วจะเป็นองค์หญิง แต่นางก็ไม่ได้ประสบกับความยากลำบากในชีวิตมากนัก ทว่าหัวใจของเด็ก เพียงได้ทำสิ่งที่สนุกก็พึงพอใจแล้ว
องค์หญิงจิ่ววิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน สาวใช้ไม่อาจวิ่งตามนางทัน มีเพียงฝูหลิงที่เท้าไวตามจับเด็กหญิงได้ทันเสมอ
ทุกครั้งที่ฝูหลิงจับตัวได้ เด็กหญิงก็หัวเราะออกมาด้วยความตื่นเต้น
อวี๋หวั่นเดินเล่นในป่ากับซั่งกวนเยี่ยนอย่างไม่เร่งรีบ โดยมีเซียวเจิ้นถิงเดินตามอยู่ข้างหลังพวกนางเงียบๆ บุรุษผู้นี้แม้ประโยคก็ไม่พูด ทว่าตราบใดที่ยังมีเขาอยู่ที่นั่น อวี๋หวั่นกับซั่งกวนเยี่ยนก็รู้สึกสบายใจยิ่งนัก
อย่ามองว่าเป็นเพียงป่าที่ดูธรรมดาๆ แห่งหนึ่ง ภายในอาจซ่อนอันตรายที่คนไม่อาจรู้ก็เป็นได้ ภิกษุแค่บอกให้พวกเขาเดินอยู่ในสวนเท่านั้น ทว่าสวนของวัดต้าเจว๋ไม่ใหญ่เท่าสวนผลไม้ของจวนคุณชาย เดินเล่นไปก็ไม่มีสิ่งใดที่น่าสนใจ พวกเขาจึงออกจากสวนแล้วเดินเข้าไปในป่าลึก
เคยมีตำนานพื้นบ้านเกี่ยวกับป่าและวัดต้าเจว๋แห่งนี้ เล่ากันว่าเมื่อหลายพันปีก่อน วัดต้าเจว๋ไม่ได้ถูกเรียกว่าวัดต้าเจว๋ แต่เป็นเพียงซากปรักหักพังที่สร้างขึ้นโดยเหล่านายพรานที่เข้ามาในภูเขา จุดประสงค์หาใช่เพื่อไว้กราบไหว้เทพเจ้าบูชาพระพุทธ ทว่าใช้เป็นสถานที่พักผ่อนในยามที่ต้องเข้าไปล่าสัตว์บนภูเขา
อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุหนุ่มในเสื้อผ้าขาดวิ่นเดินมาจากวิหารปรักหักพัง ภิกษุรูปนั้นสวมเสื้อผ้าเปื่อยยุ่ยรุ่งริ่ง ทว่าด้วยหน้าตาที่มีเสน่ห์ ทำให้ผู้คนที่พบเห็นต่างพากันหลงใหล
ในภูเขามีสัตว์ประหลาดตนหนึ่งอาศัยอยู่
วันหนึ่ง ภิกษุไปหาบน้ำมาจากริมลำธาร และถูกสัตว์ประหลาดตนนั้นเข้าจู่โจม
ปีศาจร้ายออกอาละวาดมาหลายปี ทว่ายังไม่เคยเห็นภิกษุที่หล่อเหลาถึงเพียงนี้ พลันเกิดจิตใจโลภหลง
ปีศาจร้ายจึงแปลงร่างเป็นสตรี ภิกษุได้รับบาดเจ็บจนสลบไปที่ทางกลับวิหารปรักหักพัง ภิกษุถูกปีศาจร้ายช่วยพากลับไป ปีศาจยั่วยวนภิกษุอยู่หลายครา ทว่าภิกษุก็ยังมั่นคงแน่วแน่ ปีศาจจึงถามภิกษุว่า เหตุใดท่านถึงไม่ต้องการข้า?
ภิกษุกล่าว อสูรกับมนุษย์ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้
ปีศาจก็กล่าวอีกว่า ท่านรู้อยู่แล้วว่าข้าเป็นปีศาจ ไยท่านไม่จัดการข้า?
ภิกษุก็เงียบ
ตอนจบมีหลากหลายแบบ บางคนบอกว่าภิกษุมีพลังไม่เพียงพอ ทว่าสุดท้ายเขาก็จัดการปีศาจและบำเพ็ญตบะจนสำเร็จ บางคนก็บอกว่าปีศาจฆ่าภิกษุและกลับเข้าป่าไปเป็นราชาหมื่นอสูร สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเรื่องเล่าเกี่ยวกับภูติผีปีศาจเท่านั้น
ตอนจบที่อวี๋หวั่นคิดว่าไร้สาระที่สุดก็คือ ปีศาจยอมถอดวิญญาณอันชั่วร้ายเพื่ออยู่กับภิกษุ และกลายเป็นภูติผีธรรมดา เมื่อเห็นว่าวิญญาณใกล้จะแตกดับ ภิกษุก็ได้ใช้พลังชีวิตทั้งหมดสร้างเขตลวงตาในป่า หากภูติผีอยู่ในรัศมีไม่ก้าวออกไปก็จะไม่ตาย และร่างของภิกษุก็กลายเป็นวัดต้าเจว๋แห่งนี้เพื่อปกป้องเขตลวงตาและภูติผีบนภูเขาตลอดไป
ไม่รู้ว่าผู้ใดมีเวลาว่างมาคิดเรื่องเช่นนี้
“ไอ้หยา ข้าอยากได้นั่น ข้าอยากได้นั่น!”
เสียงขององค์หญิงจิ่วขัดจังหวะความคิดของอวี๋หวั่น อวี๋หวั่นตามเสียงไป และเห็นว่าองค์หญิงจิ่วกำลังยืนอยู่ใต้ต้นพุทราป่า พลางร้องและชี้ไปที่ผลพุทราสีเขียวบนต้น
ในฤดูกาลนี้พุทราเพิ่งออกผล จึงมีขนาดเล็กและมีสีเขียว องค์หญิงจิ่วคิดว่ามันเป็นพุทราเขียวขนาดใหญ่ที่นางเคยกินในวัง จึงตะกละอยากกินจนน้ำลายสอ
“อันนี้ไม่อร่อย” อวี๋หวั่นเอ่ย
“ข้าเคยกินแล้ว มันอร่อย!” องค์หญิงจิ่วกล่าว
อวี๋หวั่นหัวเราะ พุทราเช่นนี้ต้องออกสีแดงถึงจะดี หากกินไปเช่นนี้รสฝาดยิ่ง ทว่าเด็กน้อยก็เป็นเช่นนี้ ต่อให้เจ้าพูดนางก็ไม่เชื่อ จนกว่าจะได้ลองชิมด้วยตนเองเท่านั้น ทว่าที่นี่ในยามนี้ ก็ไม่รู้จะไปหาเสามาจากที่ใด
เซียวเจิ้นถิงกล่าวว่า “เดี๋ยวข้าเก็บให้”
ขณะที่เอ่ย เขาก็ใช้วิชาตัวเบาปีนต้นไม้ขึ้นไปเก็บ
ขณะนั้นเององค์หญิงจิ่วก็มองเห็นเถาวัลย์องุ่นป่าอีกต้นหนึ่ง “โอ้ องุ่น องุ่น องุ่น!”
เพียงพริบตาเดียวก็ละทิ้งผลพุทราไปหาผลองุ่นเสียแล้ว
ฝูหลิงวิ่งตามไปอย่างทุลักทุเล
ทั้งสองวิ่งหายไป องค์หญิงจิ่วซึ่งเคยอยู่แต่ในตำหนัก เมื่อได้ออกมาด้านนอกก็เหมือนกับบุตรชายของเธอ พวกเขาต่างเหมือนม้าป่าที่ถูกถอดบังเหียน
“ข้าจะตามไปดู” อวี๋หวั่นเอ่ยกับซั่งกวนเยี่ยน
ซั่งกวนเยี่ยนพยักหน้า
เดิมทีนางคิดจะอยู่ที่นี่เพื่อรอให้เซียวเจิ้นถิงเก็บพุทราให้เสร็จ ทว่าเมื่อคิดดูอีกที เซียวเจิ้นถิงบุรุษร่างใหญ่ผู้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ หาได้จำเป็นต้องมีผู้ใดปกป้อง แต่กับสะใภ้ตัวเล็กของนาง หากเดินหลงป่าไปคงมิใช่เรื่องดีเป็นแน่
เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางก็รีบตามไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]