หน่วยกล้าตายหน้ากากทองซึ่งถูกเล่าขานกันเพียงในตำนาน กลับมาปรากฏกายในหนานจ้าว ทั้งยังเผชิญหน้ากับเจียงไห่ เหตุการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“ไม่คิดเลยว่าหน่วยกล้าตายหน้ากากทองจะเก่งขนาดนี้” นอกจากตกใจแล้ว อวี๋หวั่นไม่รู้ว่าจะพูดว่าอย่างไรแล้ว
อวี๋หวั่นกระจ่างในความสามารถของเจียงไห่เป็นอย่างดี แม้แต่จวินฉางอันก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา เขาสามารถเดินกร่างในจงหยวนก็ว่าได้ ส่วนวิทยายุทธ์ของชิงเหยียนไม่นับว่าดีที่สุด แต่เขามีวิชาตัวเบาเป็นเลิศ ก็ยังไม่อาจหลบหลีกการโจมตีได้ ส่วนเยว่โกวนั้น พลังภายในของเขาแข็งแกร่งกว่าเจียงไห่ถึงสามเท่า แต่กลับต้านได้เพียงสามหมัด
อาม่าดูเยือกเย็นกว่าอวี๋หวั่นมาก แต่ในส่วนของจิตใจนั้นสงบนิ่งหรือไม่นั้น ย่อมไม่อาจรู้ได้
อีกด้านหนึ่ง ปรมาจารย์พิษแซ่อวี๋ก็เอ่ยปากขึ้นอีก “…เรียนใต้เท้า!! พวกเขามีทั้งหมดแปดคนขอรับ! ข้ายินดีจะนำทางให้ใต้เท้าไปจับพวกเขาทั้งหมด!”
ทีนี้ละ พวกเจ้าหนีไม่รอดแน่นอน
ทันทีที่ปรมาจารย์พิษเพิ่งพูดจบ ก็มีแรงยกรถม้าของทั้งสองขึ้น…หน่วยกล้าตายหน้ากากทองได้ลงมือแล้ว
รถม้าถูกโยนไปบนพื้นเบื้องหน้ากองทัพ
ศีรษะของอวี๋หวั่นกระแทกกับบานประตู จนบานประตูแตกออก
อวี๋หวั่นลูบศีรษะ ขณะที่กำลังจะเข้าไปพยุงอาม่าซึ่งถูกกระแทกอย่างแรงนั้น ก็มีหอกหลายเล่มจ่อมาตรงหน้า
อวี๋หวั่นมองไปยังหอกซึ่งอยู่ห่างกับเธอเพียงชุ่นเดียว ก็ค่อยๆ ยกปลายนิ้วขึ้น แล้วผลักปลายหอกออกไป “มีแต่คนแก่กับสตรี ศึกครั้งนี้มิได้ใหญ่เกินไปหรอกหรือ?”
ทั้งสองถูกจับลงมาจากรถม้า
อวี๋หวั่นเพิ่งจะปลอมเป็นจื่อซู ยังไม่ทันได้เปลี่ยนชุดเป็นผู้ชาย
เมื่อปรมาจารย์พิษเห็นอวี๋หวั่นที่เคยแต่งกายเป็นบุรุษ ก็ยังไม่อาจจดจำได้ในแรกเห็น จากนั้นก็ตื่นตะลึง “จะ…เจ้า…อา เป็นเจ้า? เจ้าเป็นสตรีรึ?! เจ้ามาสวม…เสื้อผ้าของจื่อซูทำไม?”
ต่อให้ปรมาจารย์พิษเค้นสมองออกมาก็ไม่อาจเดาได้ว่าอวี๋หวั่นปลอมเป็นจื่อซู
อวี๋หวั่นขี้คร้านจะสนใจเขา
ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ แน่นอนว่าเธอย่อมไม่มามัวสนใจว่าจะถูกเปิดโปงอีกต่อไป
สตรีก็สตรีเถอะ ปรมาจารย์พิษอวี๋มิได้นำมาใส่ใจ แต่กลับนึกถึงคนอื่นๆ ที่เหลือ เขาขมวดคิ้ว “ไม่สิ! ยังมีอีก!”
“อาม่า ที่หนานจ้าวมีคนที่ถูกเรียกว่าแม่ทัพใหญ่ทั้งหมดกี่คนหรือ?”
“คนเดียว”
“คนสกุลเห้อเหลียนคนนั้นใช่ไหม?”
“เอะอะเสียงดังอะไร?!” ทหารคนหนึ่งแทงหอกยาวลงที่พื้นหญ้าระหว่างทั้งสอง
“มิผิด คนสกุลเห้อเหลียนคนนั้น” อาม่าตอบ
“บอกว่าอย่าเสียงดังอย่างไรเล่า!” องครักษ์ยกหอกขึ้นมาชี้หน้าอาม่าโดยไม่เกรงใจ
อาม่าคุกเข่านิ่ง ท่าทางสงบเยือกเย็น
อวี๋หวั่นกลับคว้าหอกของทหารเอาไว้ “ถ้ากล้าแตะเขาแม้แต่ปลายผม เจ้าจะไม่ได้เห็นแม้แต่แสงตะวัน!”
ทหารคนนั้นถูกสายตาเย็นเยียบของอวี๋หวั่นทำให้รู้สึกชาไปทั้งร่าง เขาหยุดลงทันที
ปรมาจารย์พิษอวี๋ปราดเข้าไป “เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? กล้าพูดแบบนี้กับใต้เท้าได้อย่างไร! คนที่จะไม่เห็นแสงตะวันก็คือเจ้ามากกว่า!”
เขาพูดไปพลางหันหน้าไปยังรถม้าซึ่งปิดม่านสนิท แล้วรีบเอ่ยขึ้นอย่างมีมารยาทว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่ขอรับ คนเหล่านี้มีที่มาที่ไปไม่ชัดเจน ไม่มีหนังสือผ่านทาง พวกเขาไม่เพียงต้องการสังหารข้า เกรงว่าคงจะลงมือกับใต้เท้าเฟ่ยหลัวไปแล้วเช่นกันขอรับ! ท่านแม่ทัพใหญ่ได้โปรดส่งทหารไปยังกระโจมของใต้เท้าเฟ่ยหลัวด้วยเถิดขอรับ เพื่อจะได้แน่ใจว่าเขาไม่ได้ถูกคนเหล่านี้ทำร้าย!”
ถ้าไป ก็ต้องพบกับซากศพของเฟ่ยหลัว…
ทีนี้พวกเขาก็จะมีความผิดโทษฐานสังหารปรมาจารย์พิษของประมุขหญิง
อวี๋หวั่นหลับตา
ตอนนี้เห็นทีก็คงจะเหลือเพียงวิธีเดียว…
เรื่องพรรค์นี้ เธอถนัดนักเชียว…
ลองดูสักตั้ง…
อวี๋หวั่นสูดหายใจเข้าลึก แล้วบีบน้ำตา ร้องไห้คร่ำครวญออกมา “ท่านแม่ทัพใหญ่ อย่าสังหารข้า…ข้าเป็นหลานแท้ๆ ของท่าน…”
ม่านของรถม้าปิดสนิท คนด้านนอกไม่อาจมองเห็นด้านในรถ ไม่รู้ว่าทันทีที่เห้อเหลียนเป่ยหมิงได้ยิน เขาก็สะดุ้งเฮือกจนเกือบจะโยนลูกจิ้งจอกหิมะซึ่งลูบมาตลอดทางทิ้ง
กระนั้นเมื่อลูกจิ้งจอกหิมะตัวน้อยได้ยินเสียงจากด้านนอก ก็อดใจไม่ไหว อยากกระโดดออกไปแทบแย่
เจ้าโยนข้าเลย!
โยนข้าเดี๋ยวนี้เลยนะ!
เห้อเหลียนเป่ยหมิงตั้งสติได้ ก็อุ้มมันกลับมา
เจ้าลูกจิ้งจอกหิมะนั่งอยู่บนตักของเขาด้วยความขุ่นเคือง ถอนหายใจอย่างห่อเหี่ยว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]