หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3] นิยาย บท 181

หน่วยกล้าตายหน้ากากทองซึ่งถูกเล่าขานกันเพียงในตำนาน กลับมาปรากฏกายในหนานจ้าว ทั้งยังเผชิญหน้ากับเจียงไห่ เหตุการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

“ไม่คิดเลยว่าหน่วยกล้าตายหน้ากากทองจะเก่งขนาดนี้” นอกจากตกใจแล้ว อวี๋หวั่นไม่รู้ว่าจะพูดว่าอย่างไรแล้ว

อวี๋หวั่นกระจ่างในความสามารถของเจียงไห่เป็นอย่างดี แม้แต่จวินฉางอันก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา เขาสามารถเดินกร่างในจงหยวนก็ว่าได้ ส่วนวิทยายุทธ์ของชิงเหยียนไม่นับว่าดีที่สุด แต่เขามีวิชาตัวเบาเป็นเลิศ ก็ยังไม่อาจหลบหลีกการโจมตีได้ ส่วนเยว่โกวนั้น พลังภายในของเขาแข็งแกร่งกว่าเจียงไห่ถึงสามเท่า แต่กลับต้านได้เพียงสามหมัด

อาม่าดูเยือกเย็นกว่าอวี๋หวั่นมาก แต่ในส่วนของจิตใจนั้นสงบนิ่งหรือไม่นั้น ย่อมไม่อาจรู้ได้

อีกด้านหนึ่ง ปรมาจารย์พิษแซ่อวี๋ก็เอ่ยปากขึ้นอีก “…เรียนใต้เท้า!! พวกเขามีทั้งหมดแปดคนขอรับ! ข้ายินดีจะนำทางให้ใต้เท้าไปจับพวกเขาทั้งหมด!”

ทีนี้ละ พวกเจ้าหนีไม่รอดแน่นอน

ทันทีที่ปรมาจารย์พิษเพิ่งพูดจบ ก็มีแรงยกรถม้าของทั้งสองขึ้น…หน่วยกล้าตายหน้ากากทองได้ลงมือแล้ว

รถม้าถูกโยนไปบนพื้นเบื้องหน้ากองทัพ

ศีรษะของอวี๋หวั่นกระแทกกับบานประตู จนบานประตูแตกออก

อวี๋หวั่นลูบศีรษะ ขณะที่กำลังจะเข้าไปพยุงอาม่าซึ่งถูกกระแทกอย่างแรงนั้น ก็มีหอกหลายเล่มจ่อมาตรงหน้า

อวี๋หวั่นมองไปยังหอกซึ่งอยู่ห่างกับเธอเพียงชุ่นเดียว ก็ค่อยๆ ยกปลายนิ้วขึ้น แล้วผลักปลายหอกออกไป “มีแต่คนแก่กับสตรี ศึกครั้งนี้มิได้ใหญ่เกินไปหรอกหรือ?”

ทั้งสองถูกจับลงมาจากรถม้า

อวี๋หวั่นเพิ่งจะปลอมเป็นจื่อซู ยังไม่ทันได้เปลี่ยนชุดเป็นผู้ชาย

เมื่อปรมาจารย์พิษเห็นอวี๋หวั่นที่เคยแต่งกายเป็นบุรุษ ก็ยังไม่อาจจดจำได้ในแรกเห็น จากนั้นก็ตื่นตะลึง “จะ…เจ้า…อา เป็นเจ้า? เจ้าเป็นสตรีรึ?! เจ้ามาสวม…เสื้อผ้าของจื่อซูทำไม?”

ต่อให้ปรมาจารย์พิษเค้นสมองออกมาก็ไม่อาจเดาได้ว่าอวี๋หวั่นปลอมเป็นจื่อซู

อวี๋หวั่นขี้คร้านจะสนใจเขา

ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ แน่นอนว่าเธอย่อมไม่มามัวสนใจว่าจะถูกเปิดโปงอีกต่อไป

สตรีก็สตรีเถอะ ปรมาจารย์พิษอวี๋มิได้นำมาใส่ใจ แต่กลับนึกถึงคนอื่นๆ ที่เหลือ เขาขมวดคิ้ว “ไม่สิ! ยังมีอีก!”

“อาม่า ที่หนานจ้าวมีคนที่ถูกเรียกว่าแม่ทัพใหญ่ทั้งหมดกี่คนหรือ?”

“คนเดียว”

“คนสกุลเห้อเหลียนคนนั้นใช่ไหม?”

“เอะอะเสียงดังอะไร?!” ทหารคนหนึ่งแทงหอกยาวลงที่พื้นหญ้าระหว่างทั้งสอง

“มิผิด คนสกุลเห้อเหลียนคนนั้น” อาม่าตอบ

“บอกว่าอย่าเสียงดังอย่างไรเล่า!” องครักษ์ยกหอกขึ้นมาชี้หน้าอาม่าโดยไม่เกรงใจ

อาม่าคุกเข่านิ่ง ท่าทางสงบเยือกเย็น

อวี๋หวั่นกลับคว้าหอกของทหารเอาไว้ “ถ้ากล้าแตะเขาแม้แต่ปลายผม เจ้าจะไม่ได้เห็นแม้แต่แสงตะวัน!”

ทหารคนนั้นถูกสายตาเย็นเยียบของอวี๋หวั่นทำให้รู้สึกชาไปทั้งร่าง เขาหยุดลงทันที

ปรมาจารย์พิษอวี๋ปราดเข้าไป “เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? กล้าพูดแบบนี้กับใต้เท้าได้อย่างไร! คนที่จะไม่เห็นแสงตะวันก็คือเจ้ามากกว่า!”

เขาพูดไปพลางหันหน้าไปยังรถม้าซึ่งปิดม่านสนิท แล้วรีบเอ่ยขึ้นอย่างมีมารยาทว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่ขอรับ คนเหล่านี้มีที่มาที่ไปไม่ชัดเจน ไม่มีหนังสือผ่านทาง พวกเขาไม่เพียงต้องการสังหารข้า เกรงว่าคงจะลงมือกับใต้เท้าเฟ่ยหลัวไปแล้วเช่นกันขอรับ! ท่านแม่ทัพใหญ่ได้โปรดส่งทหารไปยังกระโจมของใต้เท้าเฟ่ยหลัวด้วยเถิดขอรับ เพื่อจะได้แน่ใจว่าเขาไม่ได้ถูกคนเหล่านี้ทำร้าย!”

ถ้าไป ก็ต้องพบกับซากศพของเฟ่ยหลัว…

ทีนี้พวกเขาก็จะมีความผิดโทษฐานสังหารปรมาจารย์พิษของประมุขหญิง

อวี๋หวั่นหลับตา

ตอนนี้เห็นทีก็คงจะเหลือเพียงวิธีเดียว…

เรื่องพรรค์นี้ เธอถนัดนักเชียว…

ลองดูสักตั้ง…

อวี๋หวั่นสูดหายใจเข้าลึก แล้วบีบน้ำตา ร้องไห้คร่ำครวญออกมา “ท่านแม่ทัพใหญ่ อย่าสังหารข้า…ข้าเป็นหลานแท้ๆ ของท่าน…”

ม่านของรถม้าปิดสนิท คนด้านนอกไม่อาจมองเห็นด้านในรถ ไม่รู้ว่าทันทีที่เห้อเหลียนเป่ยหมิงได้ยิน เขาก็สะดุ้งเฮือกจนเกือบจะโยนลูกจิ้งจอกหิมะซึ่งลูบมาตลอดทางทิ้ง

กระนั้นเมื่อลูกจิ้งจอกหิมะตัวน้อยได้ยินเสียงจากด้านนอก ก็อดใจไม่ไหว อยากกระโดดออกไปแทบแย่

เจ้าโยนข้าเลย!

โยนข้าเดี๋ยวนี้เลยนะ!

เห้อเหลียนเป่ยหมิงตั้งสติได้ ก็อุ้มมันกลับมา

เจ้าลูกจิ้งจอกหิมะนั่งอยู่บนตักของเขาด้วยความขุ่นเคือง ถอนหายใจอย่างห่อเหี่ยว

ปรมาจารย์พิษตะโกนว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่! ท่านอย่าไปฟังนางพูดเหลวไหลนะขอรับ! นางเดินทางมาจากซีเฉิง ในตอนนั้นท่านก็อยู่ซีเฉิง หากนางมาหาท่านซึ่งเป็นญาติอย่างที่นางพูดจริง เหตุใดไม่มาหาท่านตั้งแต่ที่ซีเฉิงเล่า?”

อวี๋หวั่นลอบหรี่ตา ปรมาจารย์พิษคนนี้ดูโง่เง่า แต่ในช่วงเวลาสำคัญเขากลับรู้หนทางเจรจา

มิผิด ทุกคนล้วนรู้ว่าเห้อเหลียนเป่ยหมิงไปยังซีเฉิง ในตอนนั้นเองเธอก็บังเอิญไปอยู่ที่นั่นด้วย ถ้าจะบอกไปว่าเธอไม่รู้ข่าวก็ออกจะไม่สมเหตุสมผลไปสักหน่อย

แต่ว่า…

อวี๋หวั่นยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น แล้วพูดออกไปอย่างชอกช้ำใจว่า “ไม่ใช่ว่าข้าไม่ไปตามหา แต่ข้าถูกจับเข้าคุกไปต่างหากเล่า ข้าพูดอะไรพวกเขาก็ไม่เชื่อ คิดว่าข้าพูดจาเหลวไหล”

เธอถูกจับเข้าคุกไปจริง ส่งคนไปตรวจสอบก็ได้ ส่วนเรื่องที่ว่าเธอพูดไปว่าอย่างไร ในตอนนั้นมีผู้คุมเพียงคนเดียว ต่างฝ่ายต่างมีพยานเพียงปากเดียว ใครจะไปตัดสินได้

นิ้วเรียวงามดุจหยกแง้มม่านรถม้าออก

ปรมาจารย์พิษไม่กล้ามองหน้าแม่ทัพใหญ่ ได้แต่รีบก้มหน้า

อวี๋หวั่นกลับจ้องมองเขาโดยที่ไม่หลบตา และเผชิญกับสายตาซึ่งมองมาราวกับกำลังพินิจพิจารณาเรื่องราวที่เกิดขึ้น

นั่นเป็นดวงตาซึ่งดูแล้วเฉียบแหลมประหนึ่งสามารถทะลุทะลวงทุกสรรพสิ่งได้

อวี๋หวั่นมองเขาอย่างปราศจากความขลาดกลัว เธอไม่ได้ถอยหนีแต่อย่างใด

“เจ้าบอกว่าพ่อของเจ้าคือน้องชายของข้าที่ตกเขาไป เจ้าเดาเรื่องนี้ได้อย่างไร?” เห้อเหลียนเป่ยหมิงเอ่ยถาม

นั่นสิ จะเดาถึงขั้นนี้ได้อย่างไรกัน? เด็กตัวเล็กขนาดนั้นถูกคนอุ้มไป ไม่มีใครระบุตัวตนของเขาได้ จะใช้เพียงวันเวลาที่ใกล้เคียงกันมาเดาว่าเป็นคนสกุลเห้อเหลียนแค่นั้นหรือ?

แต่ว่า เขาถามอย่างนี้ ก็หมายความว่าเขาเองก็เคยสงสัยว่าน้องชายยังไม่ตายใช่ไหม?

เรื่องนี้ง่ายขึ้นเยอะ

วั่นมามาอยู่ในจวนคุณชาย ไม่เพียงสอนเรื่องกิริยามารยาทและกฎระเบียบต่างๆ เพียงอย่างเดียว ยังสอนวิธีการพูดพลิกลิ้นให้อีกด้วย

อวี๋หวั่นถอนหายใจ “กล่าวอย่างไม่ปิดบัง ท่านพ่อของข้าถูกเก็บมา เรื่องนี้ทุกคนในหมู่บ้านล้วนรู้ดี แต่ว่าทุกคนล้วนมีใจอยากตามหาญาติมิตร ที่นั่นมีศึกสงครามต่อเนื่อง เด็กจำนวนมากอดตาย พ่อแม่ล้มหายตายจาก แน่นอนว่ายังมีเด็กที่ถูกพ่อแม่ทิ้งเพราะไม่อาจเลี้ยงดูต่อไปได้ เด็กที่โชคดีมีชีวิตอยู่จนถูกคนใจดีเก็บมาเลี้ยงอย่างท่านพ่อข้านั้นมีน้อยนัก…จนหลังฤดูใบไม้ผลิปีนี้ มีผู้เฒ่าท่านหนึ่งตามมาที่บ้าน…เขาคิดว่าท่านพ่อข้าคือลูกชายที่พลัดพรากกันไปหลายปี พวกเราดีใจมากนัก แต่สุดท้ายแล้วเขาจำคนผิดไป ตราบจนทุกวันนี้ข้ายังจำคำพูดของเขาก่อนจากไปได้ เขาบอกว่าตราบใดที่เขามีชีวิตอยู่ต่ออีกหนึ่งวัน เขาก็จะตามหาลูกต่ออีกหนึ่งวัน เขาอายุมากแล้ว ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่วัน…ข้ามองหลังงุ้มงอของเขา ในใจก็รู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน

ข้าจึงเริ่มคิดว่า บางทีท่านพ่อของข้าอาจจะไม่ใช่เด็กที่ถูกทิ้ง เขาเป็นเด็กที่ถูกโชคชะตาทำให้พลัดพรากจากครอบครัว พ่อแม่ผู้แก่เฒ่าของเขาอาจกำลังตามหาเขาอย่างยากลำบากอยู่เช่นกันก็เป็นได้…ส่วนเรื่องที่ข้าเดาว่าเป็นสกุลเห้อเหลียน ก็เป็นเพราะแม่ทัพเวยหย่วนเคยเดินทางไปเมืองหลวงของต้าโจว”

“เจ้าเป็นคนต้าโจวหรือ?” บ่าวคนสนิทตกตะลึง

“มิผิด” อวี๋หวั่นพยักหน้า “ข้าเป็นคนต้าโจว แม่ทัพเวยหย่วนเกิดเรื่องที่ต้าโจว เรื่องของเขาแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว เป็นเพราะเรื่องนี้ข้าจึงรู้ว่าท่านมีน้องชายที่เพิ่งเกิดได้ไม่นานก็ตกเขา ดูจากช่วงเวลาแล้วตรงกับเดือนที่ท่านพ่อข้าถูกเก็บมา ในใจข้าจึงคิดว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ท่านพ่อข้า…จะเป็นคนสกุลเห้อเหลียน?”

…………………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]