อวี๋หวั่นพูดต่อ “ที่ข้ากล้าพูดเช่นนี้ ก็เพราะเหตุผลที่สำคัญเหตุผลหนึ่ง นั่นคือท่านพ่อข้าเป็นท่านโหวแห่งต้าโจว เขาเป็นแม่ทัพปกป้องชายแดน! ภาษิตโบราณกล่าวไว้ได้ดี มังกรกำเนิดมังกร หงส์กำเนิดหงส์ ท่านพ่อข้าแม้จะเติบโตในชนบท แต่ก็มีความสามารถ มิใช่เพราะสายเลือดของเทพสงครามที่ไหลเวียนอยู่ในสายเลือดหรอกหรือ?”
จริงเท็จระคนกันไปในคำพูดของอวี๋หวั่น ทว่าน้ำเสียงเปี่ยมความมั่นใจ ไหลลื่น มีต้นสายปลายเหตุ ทำให้ผู้ฟังไม่อาจจับผิดได้
บ่าวคนสนิทถามตนเองว่าเขาเข้ามาในบ้านสกุลเห้อเหลียนหลายปี รับใช้แม่ทัพใหญ่ก็ไม่นับว่าไร้ข้อผิดพลาด แต่ข้อมูลที่จำเป็นต้องกลั่นกรองก็ย่อมไม่อาจปักใจเชื่อได้ทันที คำพูดของแม่นางคนนี้จริงหรือเท็จกัน? จะว่าจริง เหตุใดเขาไม่รู้? จะว่าเท็จ ก็ไม่ยักเหมือนเรื่องโกหก…
บ่าวคนสนิทถูกคำพูดของอวี๋หวั่นทำให้สับสนเสียแล้ว
เห้อเหลียนเป่ยหมิงกล่าวออกมาอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “พวกเจ้าทั้งหมดถอยออกไปก่อน”
“ขอรับ” บ่าวคนสนิทรับคำสั่ง และถอยออกไปพร้อมกับเหล่าทหารสิบจั้ง ปรมาจารย์พิษก็ถูกพาออกไปเช่นกัน
“อาม่าต้องอยู่ที่นี่!” อวี๋หวั่นบอก
อาม่าถูกหน่วยกล้าตายซึ่งปราศจากความรู้สึก ไม่รู้จักหนักเบา หิ้วไปหิ้วมา ไม่รู้วาตอนนี้เป็นตายร้ายดีอย่างไร
เห้อเหลียนเป่ยหมิงไม่ได้ใส่ใจอาม่า
อาม่ายังคงนิ่งประหนึ่งเข้าฌาน เยือกเย็นจนน่าประหลาดใจ
กระนั้นความสนใจของเห้อเหลียนเป่ยหมิงก็มิได้อยู่ที่เขา เห้อเหลียนเป่ยหมิงมองไปยังอวี๋หวั่น
ร่างกายของเขาแม้จะไม่ได้ใหญ่โตน่าเกรงขามเฉกเช่นเซียวเจิ้นถิง แต่ก็สูงใหญ่กำยำ แม้จะนั่งอยู่บนรถเข็น ก็มีรัศมีแห่งความองอาจของขุนศึก คนทั่วไปหากถูกเขามองอาจรู้สึกพ่ายแพ้ในทันที
แต่ไม่ใช่กับอวี๋หวั่น
ดวงตาลึกล้ำดุจสายน้ำเบิกกว้าง เธอเยือกเย็นและแน่วแน่มาแต่ต้น ลมยามราตรีพัดเส้นผมดำขลับของเธอ ชายเสื้อไหวน้อยๆ ดูอ่อนช้อยราวกับเทพเซียนแห่งป่า
เห้อเหลียนเป่ยหมิงเอ่ยปากอย่างดุดัน “น้องชายของข้าตายไปตั้งนานแล้ว ข้าเป็นคนฝังเขาเองกับมือ ท่านแม่ของข้าไม่ต้องการพบหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้าย เพราะไม่อาจทนเห็นได้จึงบอกไปว่าร่างของเขาหายสาบสูญ”
อวี๋หวั่นรู้สึกราวกับคำพูดนับร้อยพันพรั่งพรูออกมาและวิ่งอลหม่านอยู่ในใจ…
นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสามสิบห้าปีก่อน เห้อเหลียนเป่ยหมิงยังเป็นเพียงเด็กน้อยที่รู้ความคนหนึ่ง ในตอนนั้นท่านแม่คลอดน้องชายที่ซีเฉิง เดิมทีคิดว่าเมื่อน้องชายอายุครบหนึ่งเดือนจะพากลับไปยังซีเฉิง ไหนเลยจะรู้ว่าระหว่างทางรถม้ากลับเกิดอุบัติเหตุพลิกคว่ำ น้องชายของเขาตกเขาไป ท่านแม่ให้ทหารรีบจับไว้ แต่น้องชายก็โชคร้ายหล่นลงไปเสียแล้ว
ในตอนนั้นเขากับท่านพ่อกำลังอยู่ระหว่างทางไปรับท่านแม่และน้องชายที่ซีเฉิง เมื่อได้ยินข่าวร้ายนี้ เขากับท่านพ่อก็ลงเขาไปพร้อมกัน
และเป็นเขาที่พบร่างของน้องชาย
เขาเป็นคนฝังน้องด้วยตนเอง
เห้อเหลียนเป่ยหมิงกล่าวว่า “แต่ก็เป็นเพราะโกหกไปว่าไม่พบร่าง จึงทำให้เกิดข่าวลือแพร่สะพัดออกไป หนึ่งในนั้นก็มีข่าวว่าน้องชายของข้ายังมีชีวิตอยู่ ท่านแม่ของข้าเชื่อ ดังนั้นจึงคิดว่าน้องชายของข้ายังไม่ตาย”
อวี๋หวั่นตะลึง “เช่นนั้น…ท่านผู้เฒ่ามิได้ออกตามหาเขาหรือ?”
“เปล่า” เห้อเหลียนเป่ยหมิงตอบ
“นั่นมันน่าเศร้าเหลือเกิน…” ข่าวเรื่องการจากไปของใครสักคนทำให้เศร้าโศกไปช่วงเวลาหนึ่ง แต่แม่ที่ต้องทนทุกข์จากการที่อยู่ห่างจากลูกนี่สิจึงจะเรียกว่าปวดร้าวประหนึ่งนำหัวใจลงไปค่อยๆ ทอดลงในกระทะน้ำมัน
เห้อเหลียนเป่ยหมิงไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้กับผู้ใดมานานแล้ว เขามองไปในความมืดมิดยามราตรีอันไร้ที่สิ้นสุด นัยน์ตาของเขาลึกล้ำ “ท่านพ่อข้าไม่อาจทนเห็นนางทุกข์ทรมานต่อไปได้ จึงบอกความจริงกับนาง สุดท้ายนางก็วิปลาสไป”
อวี๋หวั่นพูดไม่ออก
เห้อเหลียนเป่ยหมิงพูดว่า “นางไม่อาจทำใจยอมรับว่าน้องชายของข้าตายไปแล้ว นางยอมเชื่อว่าเขายังอยู่ ยอมทนทุกข์ทรมานจากความรู้สึกห่างกันจะดีกว่า”
“หลังจากนั้นเล่าเจ้าคะ?” อวี๋หวั่นถาม
เห้อเหลียนเป่ยหมิงพูดต่อด้วยสีหน้าเรียบเฉย “หลังจากนั้นนางก็ลืมสิ่งที่ท่านพ่อพูด จำได้เพียงว่าน้องตกเขาและหายสาบสูญไป หลายปีมานี้ข้าตามหา ‘น้อง’ มาให้นางหลายต่อหลายครั้ง แต่นางก็มองออกทุกครั้งว่าไม่ใช่”
อวี๋หวั่นไม่ได้โง่ ที่บอกความลับเช่นนี้กับพวกเขา ถ้าไม่ใช่เพราะตั้งใจจะฆ่าพวกเขาทันที ก็คงคิดจะใช้งานพวกเขา
เมื่อความคิดบังเกิด เธอก็เงยหน้าขึ้น “ท่านแม่ทัพใหญ่บอกเรื่องนี้กับข้า จะให้ข้าปลอมเป็นลูกหลานของน้องชายของท่านหรือ?”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงไม่ได้ปฏิเสธ “เจ้าจะอยู่หรือตายก็ขึ้นอยู่กับท่านแม่ข้าแล้ว หากนางยอมรับเจ้า พวกเจ้าทั้งหมดก็จะรอด แต่หากนางมองออก พวกเจ้าก็ไปรอในคุกได้เลย”
อวี๋หวั่นนัยน์ตาหลุกหลิก “สังหารปรมาจารย์พิษมีโทษ…”
“ประหาร”
อวี๋หวั่นเงียบลงทันที
อูย น่ากลัวจริงๆ
เห้อเหลียนเป่ยหมิงเรียกทหารกลับมา ไม่มีผู้ใดรู้ว่าแม่ทัพใหญ่พูดอะไรกับดรุณีน้อยซึ่งโผล่พรวดพราดมาอ้างตัวว่าเป็นญาติ แต่แม่ทัพใหญ่สั่งให้รับนางและคนในครอบครัวไปด้วย อย่างน้อยดูจากตอนนี้ แม่ทัพใหญ่คงไม่คิดจะสืบสวนเรื่องที่คนเหล่านี้สังหารปรมาจารย์พิษแล้ว
ศพของเฟ่ยหลัวถูกพบแล้ว องครักษ์จากจวนประมุขหญิงซึ่งหมดสติไปก็หาพบแล้วเช่นกัน
บ่าวคนสนิทเอ่ยขึ้นด้วยความลำบากใจ “ท่านแม่ทัพใหญ่…พวกเขาใจกล้าเหลือเกินขอรับ หากเรื่องนี้รู้ไปถึงจวนประมุขหญิง จวนประมุขหญิงตามสืบขึ้นมา…”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงตอบว่า “หากฮูหยินผู้เฒ่ายอมรับนาง สกุลเห้อเหลียนของข้าก็จะปกป้องนาง!”
ในทางกลับกัน หากฮูหยินผู้เฒ่าไม่คิดว่านางเป็นหลานสาว เมื่อถึงตอนนั้นเห้อเหลียนเป่ยหมิงก็ยินดีที่จะส่งฆาตกรผู้นี้ให้จวนประมุขหญิงทันที
เห้อเหลียนเป่ยหมิงยังไม่ได้ถามชื่อแซ่ ประวัติ และเหตุผลที่เข้ามาในหนานจ้าว นั่นเป็นเพราะหากฮูหยินผู้เฒ่าไม่ยอมรับแม่นางน้อยผู้นี้ พวกเขาทั้งหมดก็ต้องตาย และเห้อเหลียนเป่ยหมิงก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสนใจในตัวพวกเขา
บ่าวคนสนิทเอ่ยขึ้นว่า “ข้าแซ่อวี๋ (余) ชื่อพยางค์เดียวว่ากัง (刚) ข้าเป็นบ่าวที่ติดตามแม่ทัพใหญ่ หากฮูหยินเยี่ยนมีเรื่องอะไร ก็มาหาข้าได้”
“อวี๋กัง (鱼缸[1])?” อวี๋หวั่นเลิกคิ้ว มีคนชื่อแปลกขนาดนี้ด้วยเหรอเนี่ย?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]