เรื่องนี้เริ่มขึ้นหลังจากเยี่ยนจิ่วเฉานอนกลางวัน
นางหลี่กลับออกไปไม่นาน เยี่ยนจิ่วเฉาก็เริ่มง่วง ฮูหยินผู้เฒ่าจึงให้คนไปจัดห้องนอน และไปส่งหลานชายสุดที่รักเข้านอน เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้ใส่ใจ หันหลังมุดเข้าผ้าห่มหลับไป
ฮูหยินผู้เฒ่านั่งมองเขาพลางยิ้มร่า และเผลอหลับบนเก้าอี้ไปโดยไม่รู้ตัว
ในตอนที่เยี่ยนจิ่วเฉาตื่นขึ้น ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังหลับอยู่ เขาจึงเดินออกไปโดยมิได้สนใจ
ไม่มีใครกล้าปลุกฮูหยินผู้เฒ่า และไม่มีใครกล้าขวางเยี่ยนจิ่วเฉา
เยี่ยนจิ่วเฉาเดินไปยังซีสยาย่วน อวี๋หวั่นยังไม่กลับมา เขาพึมพำด้วยความไม่พอใจ แล้วเดินออกจากเรือนไป หลังจากนั้นก็ค่อยๆ เดินทอดน่องไปอย่างไร้จุดหมาย
แม้ว่าบ้านสกุลเห้อเหลียนจะแบ่งเป็นฝั่งตะวันตกและตะวันออก แต่กลับไม่ได้กั้นเป็นสองฝั่งชัดเจน เดิมทีมีเพียงฝั่งตะวันออก ภายหลังมีคนมากขึ้น จำต้องแยกออกไปสร้างจวนฝั่งจะวันตกอยูู่ข้างกัน ระหว่างจวนทั้งสองฝั่งถูกกั้นไว้ด้วยสวนดอกไม้เท่านั้น
และในสวนดอกไม้ก็ยังสร้างเรือนเพาะชำดอกไม้ไว้อีกด้วย
เรือนเพาะชำนั้นใช้ร่วมกัน ในห้องนั้นปลูกต้นไม้ของจวนทั้งสองฝั่ง เพราะฉะนั้นคนในจวนทั้งสองฝั่งล้วนเข้าไปได้
คนสวนในเรือนเพาะชำไม่รู้จักเยี่ยนจิ่วเฉา ถึงแม้จะได้ยินว่าฮูหยินผู้เฒ่ายอมรับหลานชายแล้ว แต่ชั่วขณะนั้นเขาก็ไม่ทันได้คิดว่าเยี่ยนจิ่วเฉาคือ ‘คุณชายแห่งจวนตะวันออก’ เมื่อเยี่ยนจิ่วเฉาเดินเข้าไป เขาจึงตกใจเล็กน้อย
คนสวนรู้สึกว่าตนควรถามว่าเขาเป็นใคร แต่เยี่ยนจิ่วเฉากลับเดินสวนไปอย่างไม่ยี่หระ
ท่าทางผึ่งผาย ราวกับเป็นสวนดอกไม้ของบ้านตนอย่างไรอย่างนั้น
คนสวนไม่กล้าถาม
เยี่ยนจิ่วเฉาดึงดอกไม้ออกมา ทำให้กระถางต้นไม้ล้ำค่าของจวนตะวันออกกระจัดกระจาย กระจัดกระจายยังไม่พอ ยังยื่นมือไปข้องแวะกับฝั่งของจวนตะวันตกด้วย เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าในนั้นมีการแบ่งฝั่ง เขาคิดว่าอยากเด็ดอะไรก็เด็ดได้ เด็ดเสร็จแล้ว ถ้าหากชอบก็เก็บไว้ หากไม่ชอบก็โยนทิ้งไป
หนึ่งในนั้นมีต้นที่อัปลักษณ์ที่สุดคือเห็ดหลินจือสีดำปี๋ ดูแล้วไม่น่ามองเหลือเกิน คุณชายเยี่ยนมองด้วยสายตารังเกียจ เผอิญว่าด้านข้างมีผ้าขี้ริ้ววางอยู่ เยี่ยนจิ่วเฉาจึงใช้ปลายนิ้วหยิบผ้าขี้ริ้วขึ้นมา แล้วโยนไปคลุมด้านบน
คุณชายทั้งสองแห่งจวนตะวันตกมาถึงหลังจากนั้นหนึ่งเค่อ
ในตอนนั้นเอง เยี่ยนจิ่วเฉาดึงจนเหนื่อยแล้ว เขานั่งพักอยู่บนชิงช้าในเรือนเพาะชำ
ชิงช้าอยู่ในส่วนในสุดของเรือนเพาะชำ และเป็นทิศที่หันด้านหลังให้ประตูใหญ่ ในตอนแรกทั้งสองไม่ได้มองว่าบนชิงช้ามีคนอยู่ พวกเขาพุ่งตรงไปยังเห็ดหลินจืออูซานซึ่งคอยประคบประหงมมาครึ่งค่อนปี ไหนเลยจะรู้ว่ามันกลับถูกคลุมไว้ด้วยผ้าขี้ริ้วแฉะๆ ผืนหนึ่ง
เห็ดหลินจืออูซานนั้นต่างจากเห็ดหลินจือทั่วไป มันต้องอยู่ในที่แห้งและมีอากาศถ่ายเท เมื่อถูกผ้าเปียกผืนใหญ่คลุมไปเช่นนี้ ไม่ตายก็คงได้รับความเสียหายไม่น้อย
เป็นดังคาด เมื่อทั้งสองเปิดผ้าขี้ริ้วออก ก็เห็นว่าเห็ดหลินจือซึ่งเมื่อวานยังคงแข็งแรงดี บัดนี้ได้แต่แน่นิ่งไม่ไหวติงเสียแล้ว
ทั้งสองระเบิดโทสะในทันใด
“ใครทำ?!” คุณชายทางด้านซ้ายตวาด
สกุลเห้อเหลียนมีทั้งหมดสองครอบครัว เดิมทีมีสามครอบครัว แต่ครอบครัวที่สามเป็นบุตรของอนุภรรยา พวกเขาย้ายออกไปตั้งถิ่นฐานที่อื่นแล้ว ไม่นับว่าเป็นสกุลเดียวกับสกุลเห้อเหลียน นายท่านใหญ่และฮูหยินผู้เฒ่าให้กำเนิดบุตรชายหนึ่งคนและบุตรสาวอีกหนึ่งคน บุตรสาวแต่งงานออกไปแล้ว บุตรชายคนโตก็คือเห้อเหลียนเป่ยหมิง เห้อเหลียนเป่ยหมิงและนางถานมีบุตรชายหนึ่งคน บุตรชายคนนั้นถูกไล่ออกจากบ้านไปตั้งแต่หลายปีก่อน
นายท่านใหญ่รองมีบุตรชายเพียงคนเดียว นั่นก็คือเห้อเหลียนฉีผู้ล่วงลับ เห้อเหลียนฉีมีบุตรหลายคน กับนางหลี่เพียงคนเดียวกก็มีบุตรชายสามคน บุตรชายคนโตประจำการอยู่ที่ค่ายทหารในซีเฉิง อีกสองคนก็คือเห้อเหลียนอวี่บุตรชายคนรองและเห้อเหลียนเฉิงบุตรชายคนเล็ก มีลำดับในจวนเป็นคุณชายรองและคุณชายสาม
ทว่าหลังจากที่เยี่ยนจิ่วเฉาเข้ามา ลำดับของเขาก็มีการเปลี่ยนแปลง คุณชายใหญ่จากอีกครอบครัวหนึ่งก็กลายเป็นคุณชายรอง พวกเขาจึงกลายเป็นคุณชายสามและคุณชายสี่
ผู้ที่ตวาดด้วยความโกรธเมื่อครู่ก็คือคุณชายสี่เห้อเหลียนเฉิง
นางหลี่ตามใจเห้อเหลียนเฉิงมาก อารมณ์ร้าย จู้จี้จุกจิกและบ้าอำนาจมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม เขาก็คงไม่รู้ว่าผู้ที่ถูกเสียงเอะอะโวยวายของเขาปลุกจนตื่นนั้นคือจ้าวแห่งความจู้จี้จุกจิกและบ้าอำนาจ
เยี่ยนจิ่วเฉาเผยอตามองข้างหนึ่ง จากนั้นก็สองข้าง แล้วแค่นเสียง ‘หึ’ ในลำคอ
เมื่อได้ยินเสียง เห้อเหลียนอวี่และเห้อเหลียนเฉิงก็ชะงักไปครู่หนึ่ง พวกเขาหันไปมองที่ชิงช้าพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย จึงพบว่าบนชิงช้ามีคนนั่งอยู่
“ผู้ใดกัน?” เห้อเหลียนเฉิงถาม
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่สนใจ
เห้อเหลียนเฉิงและพี่ชายมองหน้ากัน เดินสาวเท้าเข้าไป อ้อมด้านหลังชิงช้าแล้วไปหยุดอยู่ตรงหน้าเยี่ยนจิ่วเฉา
วันนี้เยี่ยนจิ่วเฉาสวมชุดยาวสีขาว มันทั้งดูไม่สะดุดตาและไร้สีสัน คอเสื้อติดกระดุมไปจนถึงเม็ดบนสุด ทำให้รู้สึกทรมานอยู่บ้าง แต่เขาก็ยังนั่งพิงชิงช้า แล้วผล็อยหลับไปราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไร
แม้ว่าเขาจะนั่งอยู่ แต่ก็ไม่อาจบดบังรูปร่างสูงสง่าของเขาได้
ใบหน้าของเขานั้นเป็นใบหน้าที่บุรุษในใต้หล้าต้องรู้สึกอิจฉาจนกระอักเลือด
ใบหน้าที่งดงามที่สุดที่สองพี่น้องเคยเห็นก็คือลุงใหญ่ของพวกเขา กระนั้นบุรุษซึ่งอยู่เบื้องหน้าพวกเขาในตอนนี้ก็มิได้ด้อยไปกว่าเห้อเหลียนเป่ยหมิงเลย
บนโลกนี้ไหนเลยจะมีผู้ที่หล่อเหลาถึงเพียงนี้?
สมกับที่เห้อเหลียนอวี่เป็นพี่ชาย เขาตั้งสติได้ก่อน ความตกใจปรากฏในสายตา เขาเอ่ยถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ “เจ้าเป็นใคร? เหตุใดมาอยู่ในอยู่ในเรือนเพาะชำของจวนสกุลเห้อเหลียนได้?”
“นั่นสิ! เจ้าเป็นใคร?” เห้อเหลียนเฉิงตั้งสติได้
จะโทษสองพี่น้องที่ตะลึงพรึงเพริดเช่นนี้ก็ไม่ได้ อันที่จริงพวกเขาเกิดในสกุลเห้อเหลียน โตในสกุลเห้อเหลียน แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเห็นคนผู้อื่น และไม่ยักจำได้ว่าจวนทั้งสองฝั่งมีญาติซึ่งท่าทางไม่ธรรมดาเช่นนี้
พวกเขามิได้นึกถึงหลานชายของฮูหยินผู้เฒ่าแต่อย่างไร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]