สุดท้ายแล้ว อวี๋หวั่นก็มิได้ย่อท้อต่อการทำอาหาร
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ท่านพ่อก็ชอบอาหารที่เธอทำนะ!
วินาทีที่บุตรสาวถือมีดออกมา อวี๋เซ่าชิงซึ่งไม่ได้กลับบ้านมานานและกำลังจะมีช่วงเวลาอันแสนหวานกับภรรยาก็ขมวดคิ้วแล้วพุ่งปราดไป เขาไม่รู้ และคิดว่าศัตรูเข้ามาในห้องครัว จึงลุกขึ้นมาหมายจัดการให้สิ้น
ท่านพ่อต้องหิวมากแน่เลย!
อวี๋หวั่นคิดอย่างเป็นกังวล
“อาหวั่น!” อวี๋เซ่าชิงหายใจเข้าลึกๆ แล้วดึงมีดออกมาจากมือของอวี๋หวั่น “ข้าทำอาหารเอง เจ้าไปอยู่เป็นเพื่อนแม่เถอะ”
“หา?” เธอไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม? ท่านพ่อที่ก่อนหน้านี้จะสังหารศัตรู พูดเองหรือว่าจะทำอาหาร? ลุงใหญ่ทำอาหารก็เพราะเขาเป็นพ่อครัว เขาชอบศึกษาการทำอาหาร แต่เขาก็ทำเพียงบางครั้ง ปกติแล้วก็เป็นป้าสะใภ้ใหญ่ที่ทำอาหาร
“ท่านพ่อ ข้าทำเองเถอะ ท่านเดินทางมาเหนื่อย” อวี๋หวั่นพูดอย่างเข้าอกเข้าใจ พ่อของเธอเป็นถึงวีรบุรุษที่ปกป้องประเทศ เธอจะให้วีรบุรุษมาเข้าครัวได้อย่างไร?
“ไม่ได้! ข้ากับแม่เจ้าให้เจ้าเกิดมา ไม่ได้ให้มาอยู่ก้นครัว งานหนักเช่นนี้ไม่ควรให้เด็กสาวตัวเล็กๆ อย่างเจ้ามาทำ!” อวี๋เซ่าชิงซึ่งปกติเป็นคนพูดน้อย บัดนี้กลับมีคำพูดมากมายพรั่งพรูออกมา เพียงเพื่อชิงอำนาจในห้องครัวกลับมา
อวี๋หวั่นเห็นพ่อของเธอมีสีหน้าเด็ดเดี่ยวไม่ถนอมน้ำใจของเธอ จะว่าไปเรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรต้องถนอมน้ำใจ เธอโตแล้ว ช่วยที่บ้านทำงานได้แล้ว
สุดท้ายอวี๋หวั่นก็ต้องยอมแพ้ส่งมอบห้องครัวให้บิดา
อวี๋หวั่นมองไปยังท่านพ่อซึ่งกำลังง่วนอยู่หน้าเตา ก็พลันรู้สึกซาบซึ้งใจขึ้นมา
พ่อฉันรักฉันจริงๆ รักมากๆ ด้วยแฮะ!
ในขณะเดียวกัน อวี๋เซ่าชิงกำลังหั่นผักและกำลังจะไปเติมถ่าน ในสมองเต็มไปด้วยประโยคว่า ‘หากรักชีวิต อย่าคิดให้ลูกสาวทำอาหาร!’
เนื่องจากไม่รู้ว่าอวี๋เซ่าชิงจะกลับมา ที่บ้านจึงไม่ได้ซื้อผักเตรียมเอาไว้ ระหว่างทางกลับบ้าน พวกเขาผ่านตลาดขายผักหลายแห่ง ทว่าสองพ่อลูกสนทนากันจนลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
โชคดีที่ที่บ้านยังมีปลารมควันและเนื้อรมควันที่เหลือในคืนวันส่งท้ายปี นอกจากนั้นก็ยังมีหน่อไม้ ผักขมป่า และหัวไช้เท้าที่ป้าไป๋ให้มา
อวี๋เซ่าชิงนึ่งปลารมควันหนึ่งชาม ทำเนื้อรมควันผัดหน่อไม้หนึ่งหม้อ ผักโขมผัดหนึ่งจาน และหัวไช้เท้าเส้นผัดอีกหนึ่งจาน
มองก็รู้แล้วว่าเขาเคยเป็นทหารมาก่อน ทำมาตั้งมากมาย!
อวี๋หวั่นแอบคิดว่า พ่อของเธอใช้มือฆ่าศัตรู ไม่ได้ใช้มือทำอาหาร ถ้าอาหารที่เขาทำไม่อร่อย เธอก็ควรจะไว้หน้าเขาสักหน่อย
ก็เธอเป็นลูกกตัญญูนี่นา
เถี่ยตั้นน้อยไปเรียกครอบครัวของลุงใหญ่ อวี๋หวั่นจึงแอบกินเนื้อแดดเดียวที่เหลืออยู่ในหม้อ
แม่เจ้า…ทำไมถึงอร่อยขนาดนี้?!
……
เถี่ยตั้นน้อยวิ่งไปอย่างรวดเร็ว เพียงครู่เดียวก็ไปเรียกพวกลุงใหญ่ที่บ้านเดิมมา ในตอนที่ป้าสะใภ้ใหญ่ออกไปเก็บผ้า นางก็เห็นสายตาของชาวบ้านมองมาจากบ่อน้ำเก่า นางเองก็ยังสงสัยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ควรให้อวี๋ซงไปสืบมาดีหรือไม่ แต่บังเอิญว่าเถี่ยตั้นน้อยมาถึงหน้าบ้านพอดี ครั้นได้ยินว่าอวี๋เซ่าชิงกลับมาแล้ว ป้าสะใภ้ใหญ่ก็ยังคิดว่าเขาล้อเล่น
เมื่อคนทั้งครอบครัวเดินไปยังบ้านเก่าของสกุลติง ก็เห็นอาชาศึกตัวสูงสง่าผูกอยู่ที่หน้าบาน ในใจก็เชื่อขึ้นมาอีกครึ่งหนึ่ง!
ลุงใหญ่ถึงกับโยนไม้เท้าทิ้ง แล้วเดินกะโผลกกะเผลกเข้าไปในบ้านด้วยความตื่นเต้น “น้องสาม?”
อวี๋เซ่าชิงซึ่งเพิ่งถอดชุดเกราะก็เดินออกมา เมื่อเห็นพี่ใหญ่ของตน ขอบตาก็ร้อนขึ้นมา เขารีบจ้ำเข้าไปหา
“น้องสาม!”
“พี่ใหญ่!”
สองพี่น้องพยุงแขนของกันและกันด้วยความตื่นเต้น ลุงใหญ่กอดน้องชายของตน ตื้นตันจนพูดไม่ออก
น้องสามซึ่งออกรบแทนเขา ในที่สุดก็หวนคืนสู่บ้านเกิดอย่างปลอดภัย!
หลายปีมานี้ ไม่มีคืนไหนเลยที่เขาไม่กังวล กลัวว่าน้องสามจะโชคร้ายตายแทนเขา ทว่าฟ้ามีตา น้องสามกลับมาแล้ว…กลับมาแล้วจริงๆ !
“หลายปีมานี้…จะ…เจ้า…เจ้าลำบากแย่เลย…” ลุงใหญ่ร่ำไห้จนพูดไม่เป็นศัพท์
บุรุษฉกรรจ์ร้องไห้ประหนึ่งเด็กน้อย แต่ทุกคนในบ้านล้วนไม่มีผู้ใดหัวเราะเยาะเขา หัวใจของเขาแบกรับความทุกข์ทรมานมานานหลายปี เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ดีเท่าคนสกุลอวี๋
เขายินดีตาย แต่จะไม่ยอมให้น้องสามเป็นอะไร
ที่โชคดีก็คือ อวี๋เซ่าชิงมีชีวิตรอดกลับมา
“พี่ใหญ่ ขาท่าน…” อวี๋เซ่าชิงขมวดคิ้ว มองไปยังขาขวาที่สั่นเทิ้มของลุงใหญ่
ลุงใหญ่กล่าวเลี่ยงว่า “ล้มนิดหน่อย เกือบจะหายดีแล้ว! ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด!” ด้วยกลัวว่าอวี๋เซ่าชิงจะซักไซ้ไล่เลียง เขารีบหันหน้าไป “อาเซียง!”
ป้าสะใภ้ใหญ่ปาดน้ำตาแล้วรีบก้าวขึ้นมาด้านหน้า
อวี๋เซ่าชิงมองไปยังพี่สะใภ้ใหญ่ของตน กล่าวกันว่าพี่สะใภ้ใหญ่เปรียบเสมือนมารดา สำหรับเขาแล้ว เขาก็เคารพพี่สะใภ้ใหญ่ผู้นี้เป็นอย่างมาก
“พี่สะใภ้ใหญ่!”
“เอ้อ!” พี่สะใภ้ใหญ่พยักหน้าพลางสะอึกสะอื้น
อวี๋เฟิงและอวี๋ซงก็ตามติดอยู่ด้านหลังบิดาและมารดา ทั้งสองมองบุรุษเบื้องหน้าด้วยความตกตะลึง ในตอนที่อวี๋เซ่าชิงจากไป อวี๋เฟิงเพิ่งจะอายุสิบสี่ อวี๋ซงอายุสิบสอง เป็นวัยที่รู้ความแล้ว ทว่าอาสามในความทรงจำของพวกเขากับอาสามในตอนนี้แตกต่างกันมาก
อาสามดู…ยิ่งใหญ่และสง่างามมากกว่าเดิม
นี่คือหลานชายทั้งสองซึ่งเคยเดินตามเขาต้อยๆ หลายปีผ่านไป เวลาทำให้พวกเขาห่างกันมากกว่าเดิม
อย่างไรก็ตาม ความรักที่อวี๋เซ่าชิงมีต่อพวกเขามิได้เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย ในดวงตาของอวี๋เซ่าชิงหลงเหลือความอบอุ่นและรอยยิ้ม “คงเป็นเสี่ยวเฟิงกับเสี่ยวซงกระมัง? โตขึ้นมาก สูงขึ้นด้วย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]