หลังจากฝนตกพรำๆ ติดต่อกันสองสามครั้ง อากาศยามเช้าในเมืองหลวงก็เย็นลงเล็กน้อย
ราชบุตรเขยนั่งอยู่ในศาลาซึ่งเต็มไปด้วยดอกไม้ เหม่อมองภาพวาดบนโต๊ะหินอย่างเงียบๆ
บุรุษในภาพวาดอายุยี่สิบต้นๆ สวมเสื้อคลุมสีขาวเช่นจันทร์เสี้ยว เส้นผมสีดำขลับเงาวาวราวกับผ้าไหม ใบหน้างดงามดั่งหยก แววตาแฝงความเย่อหยิ่งและเย็นชา หว่างคิ้วเผยให้เห็นร่องรอยความเอาแต่ใจ ราวกับจะฟาดฟันผู้คนให้ตายได้ตลอดเวลา
…ช่างน่าตบยิ่งนัก
“ท่านพ่อ!”
องค์หญิงน้อยเดินเข้ามาเงียบๆ และส่งเสียงเรียกข้างหูของราชบุตรเขย
ราชบุตรเขยได้ยินเสียงฝีเท้าของนางนานแล้ว เพียงแต่ทนไม่ได้กับความน่าเบื่อของเด็กผู้หญิงคนนี้ เขาเงยหน้าขึ้นและแสดงท่าทางประหลาดใจ “ทำให้ข้าตกใจเลย”
“ฮิๆ” องค์หญิงน้อยยิ้มอย่างมีความสุขและภูมิใจในชัยชนะ นั่งลงข้างราชบุตรเขย พลันกอดแขนและวางศีรษะบนไหล่ของเขา “ท่านพ่อมองอะไรอยู่หรือ?”
“ภาพวาด” ราชบุตรเขยกล่าว
องค์หญิงน้อยยืดตัวขึ้นหยิบภาพวาดขึ้นมาดู “เอ๋ เหตุใดถึงเป็นเขา?”
“เจ้ารู้จักหรือ?” ครั้งนี้ ความประหลาดใจในดวงตาของราชบุตรเขยไม่ได้ถูกปั้นขึ้น
ทว่าองค์หญิงน้อยสังเกตคำพูดและท่าทีไม่เก่ง ไม่อาจรับรู้ถึงความแตกต่างในสายตาของบิดา นางกล่าวอย่างโกรธเคือง “ข้าต้องรู้จักแน่! ถึงเขาจะกลายเป็นขี้เถ้าข้าก็รู้จัก! เขากับคนตระกูลเห้อเหลียนฉกเห็ดหลินจือของข้าไป!”
ในวันนั้น องค์หญิงน้อยเห็นเพียงเยี่ยนจิ่วเฉาเดินทางมากับอวี๋หวั่นที่ปี้ลั่วซานจวง แต่นางไม่ทราบว่าเขาเป็นสามีของอวี๋หวั่น คุณชายใหญ่ญาติตระกูลเห้อเหลียนที่เดินทางมาจากชนบท
“เจ้าบอกว่าเขาคือชายที่แย่งเห็ดหลินจือของเจ้ารึ…” ราชบุตรเขยพึมพำอย่างครุ่นคิด
“จะไม่ใช่ได้เยี่ยงไร?” องค์หญิงน้อยกลอกตา
ที่ผ่านมา เมื่อเห็นบุตรสาวทำท่าทางเช่นนี้ ราชบุตรเขยก็จะแกล้งบอกบุตรสาวว่าดูน่าเกลียด แต่วันนี้ราชบุตรเขยกลับไม่ได้กล่าวสิ่งใด เพียงแต่จ้องไปยังภาพวาดนั้นแล้วเอ่ยว่า “เช่นนี้หมายความว่าเขาก็มาจากตระกูลเห้อเหลียนหรือ?”
องค์หญิงน้อยยังคงไม่สังเกตเห็นความผิดปกติของราชบุตรเขย เพียงกล่าวต่อด้วยความโมโห “เรื่องนี้ข้าก็ไม่แน่ใจนัก แปดในสิบส่วนคงใช่ สตรีผู้นั้นเป็นหญิงชาวนาจากชนบท ภายในเมืองหลวงก็รู้จักเพียงคนตระกูลเห้อเหลียน แต่ข้าคิดว่าเขาดูไม่เหมือนองครักษ์ กลับเหมือน…”
เหมือนเจ้านาย
คราแรกที่องค์หญิงน้อยเห็นอีกฝ่ายก็เกิดภาพความรู้สึกเช่นนี้ แต่มันเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อเจ้านายตระกูลเห้อเหลียนทุกคนนางล้วนรู้จัก หากบอกว่าเขาเป็นคุณชายใหญ่ที่มาจากบ้านนอก องค์หญิงน้อยก็คงไม่เชื่อ
พ่อค้าในเมืองเล็กๆ สามารถเผยท่าทางของขุนนางสวรรค์ได้หรือ?
หรือจะเป็นแขกคนใดของตระกูลเห้อเหลียน?
องค์หญิงน้อยครุ่นคิดจนผล็อยหลับไป
“ซีเอ๋อร์ ซีเอ๋อร์ ตื่นเถิด”
องค์หญิงน้อยที่กำลังสะลึมสะลือรู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังเรียกนาง พลันเงยหน้าขึ้นขยี้ตามอง “ท่านแม่?”
ประมุขหญิงคลุมชุดไว้บนไหล่ “ไยเจ้ามาหลับอยู่ที่ศาลา? ท่านพ่อของเจ้าเล่า?”
“ท่านพ่อก็มิได้อยู่…” เมื่อองค์หญิงน้อยกล่าวไปได้เพียงครึ่งทาง พบว่าท่านพ่อที่นั่งอยู่ในศาลาเมื่อครู่ไม่รู้ไปอยู่ที่ใดแล้ว นางพลันเกาศีรษะอย่างงวยงง “โอ้ ข้านอนหลับไปนานเพียงใดแล้ว? ท่านพ่อก็ไปแล้วหรือ? ไยไม่เรียกข้าสักคำ?”
“เรียกเจ้าแล้วไม่ตื่นกระมัง?” ประมุขหญิงจ้องมองนางด้วยทั้งโกรธทั้งขำ “เหตุใดข้าถึงได้เลี้ยงหมูน้อยเช่นเจ้า?”
องค์หญิงน้อยหัวเราะ พลันเข้าสวมกอดในอ้อมอกของประมุขหญิง และกล่าวอย่างออดอ้อน “มิใช่เพราะข้าตื่นเช้าเกินไปหรอกหรือ?”
ประมุขหญิงกล่าวอย่างใจอ่อน “เอาละ หากอยากนอนก็กลับไปนอนที่ห้อง มานอนในศาลา หากข้ารับใช้เห็นจะว่าอย่างไร?”
“ข้าเข้าใจแล้ว ต้องโทษท่านพ่อที่ไม่ปลุกข้าสักคำ” องค์หญิงน้อยพึมพำอย่างน้อยอกน้อยใจ
ประมุขหญิงเคาะหน้าผากของนาง “หากยังกล้าโทษพ่อเจ้าอีก ข้าจะลงโทษเจ้าอย่างงาม!”
องค์หญิงน้อยมุ่ยปาก ใช่สิ ในใจของท่านแม่ ท่านพ่อเป็นที่หนึ่งเสมอ นางและพี่ชายต้องยืนอยู่ข้างๆ
แต่จะว่าไปแล้ว ท่านพ่อไม่บอกอะไรสักคำ เขาไปอยู่ที่ใดกันแน่?
…………………
บนถนนที่ผู้คนพลุกพล่าน รถม้าคันใหญ่ขับผ่านตรอกแคบที่ดูสะอาดสะอ้านไปอย่างเชื่องช้า แม้ว่าเมืองหลวงจะเป็นสถานที่ของผู้มีอำนาจ แต่หากดูดีๆ ก็จะพบว่าตรอกที่คับแคบเช่นนี้มักจะรกเล็กน้อย แต่ไม่ใช่ที่นี่ แม้จะคดเคี้ยว ไม่ต้องกล่าวถึงทุกตรอกซอย แม้แต่ทุกซอกทุกมุมของกำแพงก็ยังสะอาดราวกับไร้เศษฝุ่นผง
ผู้คนไม่รู้ว่าการทำความสะอาดตรอกซอกซอยและถนนเหล่านี้ ผู้ใดเป็นคนทำ และทำเมื่อใด พวกเขาทราบเพียงว่าในทุกๆ วันที่พวกเขาผ่าน มันจะสะอาดไร้ที่ติ
พื้นที่นี้ได้รับการคุ้มครองจากตระกูลเห้อเหลียน มีความปลอดภัยและเป็นระเบียบเรียบร้อย แม้ในตอนกลางคืนก็ไม่จำเป็นต้องใส่กลอนประตู
รถม้าหยุดลง สารถีถาม “ราชบุตรเขย ด้านหน้าก็จะเป็นบ้านตระกูลเห้อเหลียนแล้ว”
เขาเปิดม่านมองไปข้างหน้า ห่างออกไปประมาณร้อยฉื่อ มีจวนหลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ติดกันสองหลัง หลังหนึ่งคือจวนตะวันออก และอีกหลังคือจวนตะวันตก ประตูหลังบนถนนสายนี้คือจวนตะวันตก
“ไยมาที่จวนตะวันตก?” ราชบุตรเขยกล่าว
สารถีตะลึง “ก็ท่านอยากมาที่จวนตะวันตกมิใช่หรือ?”
เอ่อ…แต่ท่านก็ไม่ได้พูดนี่นา!
องค์หญิงน้อยของเราไม่ได้ไปมาหาสู่กับจวนตะวันออกมากนัก กลับกันนางสนิทสนมกับนายท่านเห้อเหลียนอวี่และเห้อเหลียนเฉิงแห่งจวนตะวันตกเป็นอย่างดี!
สารถีบ่นในใจ ทว่าปากกลับไม่กล้าโทษคนอื่น รีบคว้าบังเหียนแล้วหันกลับมากล่าว “กระหม่อมเข้าใจผิด จวนตะวันออกก็อยู่ไม่ไกลเช่นกัน พวกเราเดินไปกันเถิด ผ่านตรอกเล็กๆ นั่นไปก็ถึงแล้ว! หรือ…พวกเราจะไปทางประตูหลัง?”
เขาไม่เข้าใจเรื่องนี้อย่างสิ้นเชิง ราชบุตรเขยมาเยี่ยมเยียนถึงบ้านสกุลเห้อเหลียน แทนที่จะเข้าประตูหน้าอย่างสง่าผ่าเผย กลับเป็นประตูหลังอะไรนี่น่ะหรือ? ช่างเป็นเรื่องที่น่าอับอายเสียจริง!
สารถีขับรถม้าไปที่ประตูหลังของจวนเห้อเหลียนด้วยความแปลกใจ
ขณะนั้นเอง เรื่องยิ่งน่าฉงนก็เกิดขึ้น
“ช้าก่อน จอดที่นี่ละ” ราชบุตรเขยกล่าว
สารถีมองไปที่ประตูด้านหลังของจวนเห้อเหลียนซึ่งอยู่ห่างจากรถม้าไปหลายสิบก้าว พลันเอ่ยด้วยความสงสัย “จอดอยู่ตรงนี้ไม่ไกลไปหน่อยหรือ? ท่านจะเดินไปเช่นนี้รึ?”
“ไม่ไป” ราชบุตรเขยตอบกลับ
ไม่…ไม่ไป? นี่มันเรื่องอันใดกัน? นายท่านรีบมาจากจวนประมุขหญิง เพียงเพื่อยืนอยู่ด้านนอกประตูหลังจวนเห้อเหลียน?
สารถีสงสัยว่าตนเองได้ยินผิดไป จึงหันตัวไปด้านข้างเล็กน้อย พลางเอื้อมเปิดม่านรถม้ามองนายท่านที่นั่งอยู่ด้านใน และพบว่าเขากำลังหันหน้าไปมองประตูหลังจวนเห้อเหลียนที่อยู่นอกหน้าต่างด้วยท่าทางหมองหม่น
สารถีคิดอยู่พักหนึ่ง แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้พูดอะไร
นายบ่าวทั้งสองนั่งอยู่บนรถม้าเช่นนี้ โชคดีที่ไม่มีผู้ใดผ่านประตูหลังของจวนเห้อเหลียน มิฉะนั้นการที่พวกเขาจ้องมองบ้านคนอื่นเช่นนี้ คงถูกมองว่าเป็นโจรชั่วเป็นแน่
เขาไม่เข้าใจ อยู่ดีๆ ราชบุตรเขยจะมาที่จวนเห้อเหลียนด้วยเหตุใด? มาถึงแล้วยังไม่กล้าเข้าไปอีก? ทว่า…ความสัมพันธ์ระหว่างสกุลเห้อเหลียนกับจวนประมุขหญิงก็ไม่ค่อยราบรื่นนัก
บรรพชนแห่งสกุลเห้อเหลียนจงรักภักดีต่อองค์ประมุข และถึงแม้ว่าประมุขหญิงจะเป็นว่าที่กษัตริย์ แต่กลับเป็นเป้าหมายที่สกุลเห้อเหลียนคิดหลบเลี่ยง แน่นอนว่านี่คืออันดับหนึ่ง อันดับสอง ต้องย้อนกลับไปเมื่อสามสิบปีก่อน
ฮองเฮาและพระสนมอวิ๋นเฟยกำลังตั้งครรภ์ ตี้จีทั้งสองพระองค์ได้รับการทำนายชะตาดีร้าย บรรพชนเห้อเหลียนคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องไร้สาระ ครั้งหนึ่งเขาเคยส่งสาส์นขอให้ลงโทษผู้ที่ทำให้ประชาชนเกิดความสับสนอย่างหนัก ประมุขไม่ทรงลงโทษ กระทั่งตี้จีทั้งสองพระองค์ประสูติ องค์ประมุขได้ส่งตี้จีองค์โตผู้เป็นดาวนำเคราะห์ออกไปจากหนานจ้าว ซึ่งเรื่องนี้ได้รับการต่อต้านจากบรรพชนเห้อเหลียนอย่างมาก
เด็กน้อยไร้เดียงสา เหตุใดจึงมีชะตาชีวิตน่าสงสารเพียงนี้?
กล่าวอย่างตรงไปตรงมา เรื่องนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าการทดแทนบุญคุณกษัตริย์ ทว่าในสายตาของคนที่เห็นด้วย ก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่ามารดาสกุลเห้อเหลียนเข้าข้างบุตรสาวพระสนมอวิ๋นเฟย เมื่อโวยวายจนถึงที่สุด ความรู้สึกของฮองเฮาและตี้จีองค์เล็กที่มีต่อสกุลเห้อเหลียนก็เริ่มลดน้อยถอยลง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]