“เจ้า…”
คือใคร?
คำถามนี้ เกิดขึ้นตั้งแต่วินาทีแรกที่ราชบุตรเขยเห็นเสี่ยวเป่า เขาเป็นคนจากสกุลเห้อเหลียนเหมือนกัน หน้าตาก็คล้ายคลึงยิ่งนัก หากบอกว่าพวกเขาไม่ใช่พ่อลูกกัน ใครจะเชื่อ?
ความสัมพันธ์ระหว่างเยี่ยนจิ่วเฉากับเสี่ยวเป่ายิ่งเป็นการยืนยันการคาดเดานี้เพิ่มอีกแรง
แต่เสี่ยวเป่าเป็นบุตรของเขา แล้วเขาละ? เขาเป็นบุตรของใคร?
ราชบุตรเขยจ้องมองเยี่ยนจิ่วเฉาอย่างงวยงง แต่คาดไม่ถึง ก่อนที่เขาจะกล่าวจบ เงาร่างอ้อนแอ้นงดงามราวนกนางแอ่นพลันพุ่งเข้ามา “ท่านพ่อ!”
องค์หญิงน้อยวิ่งเข้าสู่อ้อมแขนของเขา พลางกอดแขนราชบุตรเขยราวกับเด็กทารกก็ไม่ปาน “ท่านพ่อ เกินไปแล้วนะ! ท่านจะออกมาก็ไม่พาซีเอ๋อร์มาด้วย ซีเอ๋อร์เกือบจะดิ้นตายอยู่ในจวนแล้ว!”
ราชบุตรเขยมององค์หญิงน้อยที่โผล่มาอย่างกะทันหัน และกลับไปมองเยี่ยนจิ่วเฉาที่แววตาเย็นชาเบื้องหน้าอีกครั้ง ไม่รู้ด้วยเหตุใด ถึงรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกขึ้นมา
เยี่ยนจิ่วเฉามององค์หญิงน้อยด้วยสายตาเยียบเย็นชาและพาเสี่ยวเป่าเดินกลับไป
“ช้าก่อน!” องค์หญิงน้อยเรียกให้พวกเขาหยุด นางผละจากแขนของราชบุตรเขย เดินอ้อมไปด้านหน้า พลางจ้องมองเขาขึ้นๆ ลงๆ “ข้าก็ว่าเหตุใดถึงรู้สึกคุ้นเคยถึงเพียงนี้ ที่แท้ก็เป็นเจ้าเอง! เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
“เกี่ยวอะไรกับเจ้า?” เยี่ยนจิ่วเฉาถามกลับอย่างเย็นชา
องค์หญิงน้อยโกรธแทบหงายหลัง บุรุษผู้นี้เป็นใครกัน? ไฉนวาจาถึงเหมือนกับสตรีชาวนาที่มาจากชนบทนั่นไม่มีผิด?
ช้าก่อน เขาพา…เด็กดำนี่มาด้วยหรือ?
สายตาขององค์หญิงน้อยตกกระทบบนใบหน้าของเสี่ยวเป่า
ทันใดนั้นเสี่ยวเป่าก็หันหลัง และมุดใบหน้าเข้ากับต้นขาของบิดาตัวเหม็น พลันยื่นก้นใหญ่ๆ ให้นาง!
ลมหายใจขององค์หญิงน้อยถึงกับหยุดชะงัก
ถ้านางเข้าใจไม่ผิด เจ้าเด็กดำตัวน้อยนี่…กำลังดูหมิ่นนาง?!
นางเป็นถึงองค์หญิงน้อยของแคว้น แต่กลับถูกเจ้าไข่ดำนี่รังเกียจ?!
“เจ้า เจ้า…” องค์หญิงน้อยกำลังจะระเบิดโทสะ แต่เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้สนใจ พลางอุ้มเด็กน้อยบนตักเขาขึ้นมาและจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
“ท่านพ่อ! ดูสิ!” องค์หญิงน้อยกระทืบเท้าด้วยความโมโห คาดหวังให้ท่านพ่อเอาคืนให้นาง แม้ว่านางจะสูงส่งเป็นถึงองค์หญิง ทว่านางก็ไม่กล้าออกมาก่อเรื่องข้างนอก ไม่เช่นนั้นหาเรื่องไปถึงหูท่านแม่ของนาง ต้องถูกลงโทษอย่างหนักเป็นแน่ แต่หากเป็นท่านพ่อลงมือกลับแตกต่างออกไป ท่านแม่จะไม่ยอมมีปัญหาขัดแย้งกับท่านพ่อเด็ดขาด
แต่ท้ายที่สุดองค์หญิงน้อยก็ต้องผิดหวัง ราชบุตรเขยที่รักนางมาตลอดกลับไม่ได้ไปหาเรื่องเยี่ยนจิ่วเฉาเพื่อนาง
“เอาละ เลิกโวยวายได้แล้ว กลับเรือนกันเถิด” ราชบุตรเขยกล่าวอย่างเหนื่อยใจ
องค์หญิงน้อยมองบิดาอย่างไม่เชื่อสายตา ในอดีตหากนางมีเหตุผล ท่านพ่อก็จะยืนหยัดอยู่ข้างนาง หากนางไม่มีเหตุผลท่านพ่อก็จะไม่ตำหนินางแม้แต่น้อย เพียงแค่ปลอบโยนนางอย่างดีเท่านั้น แต่เมื่อครู่ท่านพ่อกล่าวว่าอย่างไร? นางโวยวาย? ท่านพ่อกำลังโทษนางหรือ?
เหตุใดกัน?!
“ท่านพ่…” องค์หญิงน้อยรู้สึกแน่นในอก แต่ด้วยสายตาที่เศร้าสร้อยของราชบุตรเขย ทำให้นางพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
ราชบุตรเขยพาองค์หญิงน้อยเข้าไปในรถม้า
องค์หญิงน้อยรู้สึกน้อยใจ จึงนั่งเงียบมาตลอดทาง
ราชบุตรเขยไม่ได้เอาอกเอาใจนางเหมือนเมื่อก่อน องค์หญิงน้อยยิ่งรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
เมื่อใกล้ถึงจวน ในที่สุดนางก็ทนไม่ไหว “ท่านพ่อ เหตุใดเมื่อครู่ท่านอยู่กับคนผู้นั้นได้? แล้วเหตุใดท่านยังมีรูปวาดของเขาอีก?”
คำตอบนั้นง่ายดาย แต่ไม่รู้เหตุใด ราชบุตรเขยกลับไม่อยากพูดออกมา
“ข้ารู้แล้ว!” ดวงตาขององค์หญิงน้อยสว่างวาบ กอดแขนของราชบุตรเขยและกล่าวว่า “ท่านทราบเรื่องที่เขารวมหัวกับสกุลเห้อเหลียนกลั่นแกล้งข้าแล้วใช่หรือไม่? ท่านกำลังตรวจสอบเขา! เมื่อครู่ท่านสั่งสอนเขาไปแล้วใช่หรือไม่? ดังนั้นท่านก็เลยไม่ยอมให้ข้าเข้าไปข้องเกี่ยว!”
ราชบุตรเขยอ้าปาก ทว่ากลับไม่มีคำพูดใดออกมา ในที่สุดเขาก็ทำเพียงตบไหล่นางเบาๆ “…กลับบ้านกันเถิด”
เมื่อบิดาและบุตรสาวกลับถึงบ้าน ประมุขหญิงก็เข้าครัวด้วยตนเอง ทำอาหารมาโต๊ะใหญ่ ซึ่งเป็นเรื่องที่พบได้ไม่บ่อยนัก นางเป็นประมุขหญิง ราชกิจวุ่นวายแทบทุกวัน มือคู่นั้นของนางใช้เพื่อปกครองฟ้าดิน และวางกลยุทธ์ หาใช่มือที่ใช้ทำแกงจืดไม่
ด้วยเหตุนี้สิ่งที่นางทำ จึงดูน่ายกย่องมากขึ้นไปอีก
“ท่านแม่ วันนี้เป็นวันดีอันใดหรือ?” องค์หญิงน้อยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
แน่นอนมันคือวันที่นางรู้สึกว่าราชบุตรเขยไม่ได้ดูแลบุตรสาวอย่างดีนัก ประมุขหญิงมองราชบุตรเขยด้วยท่าทีสงบนิ่ง พลันกล่าวอย่างอ่อนโยน “ฉงเอ๋อร์จะกลับมาแล้ว”
ไม่ทันที่ราชบุตรเขยได้กล่าวตอบ องค์หญิงน้อยก็เบิกตาโพลง “พี่ใหญ่จะกลับมาแล้วหรือ?”
ประมุขหญิงหันมองนาง และพยักหน้าอย่างเอาใจ “ถูกต้อง” จากนั้นก็เอ่ยกับราชบุตรเขยว่า “ฉงเอ๋อร์ส่งจดหมายมาบอกว่าเขากำลังเดินทางกลับมาเมืองหลวง ช้าที่สุดคงมาถึงปลายเดือนหน้า”
“อา อีกตั้งหนึ่งเดือน!” องค์หญิงน้อยพลันรู้สึกผิดหวัง
ราชบุตรเขยจิตใจล่องลอย
ฉงเอ๋อร์
เมื่อเอ่ยชื่อนี้ เหตุใดจึงนึกถึงใบหน้าของเสี่ยวเป่า?
ราชบุตรเขยผู้มีไหวพริบ แท้จริงแล้วมีหลายสิ่งที่เขาคิดไม่ตก เขาไม่อาจคิดได้อย่างละเอียด มันอาจทำให้ปวดหัวและแทบเป็นบ้า
……………
เยี่ยนจิ่วเฉาพาเสี่ยวเป่ากลับจวนเห้อเหลียน
เขาไม่ได้รีบร้อนพาเด็กน้อยกลับเรือน แต่กลับหยุดลงกลางคัน
เสี่ยวเป่ารู้ว่าบิดาตัวเหม็นกำลังโกรธ อย่ามองว่าในวันธรรมดาเขากล้าต่อกรกับเยี่ยนจิ่วเฉา นั่นเพราะมีคนคอยหนุนหลังอยู่ แต่ยามนี้ฮูหยินผู้เฒ่า เห้อเหลียนเป่ยหมิง และอวี๋หวั่นล้วนไม่อยู่ข้างกาย เขาเริ่มรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาในฉับพลัน
เยี่ยนจิ่วเฉาเดินไปข้างหน้า เขาก็เดินก้มหน้าตามหลังทุกฝีก้าว
เยี่ยนจิ่วเฉาหยุด เขาก็หยุดอย่างเชื่อฟัง
เขาถือย่ามด้วยมือซ้ายและจับกิ่งไม้ด้วยมือขวา มันคือข้าวของทั้งหมดที่เขานำมาด้วยยามที่หนีออกจากบ้าน เขาแบกมันจนเหนื่อยหอบ
เยี่ยนจิ่วเฉาก้มลงมองเขา แววตาเย็นชาดูน่ากลัวเล็กน้อย
ดูแล้วอย่างไรเสียตอนนี้ก็หนีไม่พ้น เสี่ยวเป่าสูดลมหายใจด้วยความเจ็บปวด พลันหันหลังไปอย่างช้าๆ ยื่นก้นน้อยให้เขา
ตีเลย
เยี่ยนจิ่วเฉา “…”
ในที่สุดการต่อสู้ครั้งนี้ก็ไม่ได้ลงเอย เห้อเหลียนเป่ยหมิงมาแล้ว เขาไม่ได้ตามเยี่ยนจิ่วเฉาออกมา ทว่าเพราะทราบว่าเสี่ยวเป่าหายตัวไป เรื่องนี้ปิดบังฮูหยินผู้เฒ่าได้ แต่ไม่อาจปิดบังเขาได้ เขาตัดสินใจออกตามหาเสี่ยวเป่า มาได้เพียงครึ่งทางก็พบกันพอดี
“เสี่ยวเป่า”
“ท่านปู่!” เสี่ยวเป่าเบะปาก ความน้อยใจพลันเอ่อล้นออกมา รีบวิ่งไปหาอ้อมแขนของเห้อเหลียนเป่ยหมิง
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวอย่างเคร่งขรึม “หยุดอยู่ตรงนั้น!”
เสี่ยวเป่าหยุดยืนนิ่ง
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวต่อ “ห้ามร้องไห้!”
เสี่ยวเป่าเก็บกลั้นหยดน้ำตากลับไป
เห้อเหลียนเป่ยหมิงดันรถเข็น ไปลูบใบหน้าน้อยที่กำลังเศร้าโศกของเสี่ยวเป่า “เกิดอะไรขึ้น?”
เสี่ยวเป่ากล่าว “ข้าไม่เป็นไร ไม่มีใครตีข้า ข้าไม่ร้องไห้…”
“ดูเจ้าทำให้ลูกกลัวสิ” เห้อเหลียนเป่ยหมิงจ้องมองเยี่ยนจิ่วเฉา “ประเดี๋ยวหากย่าทวดของเจ้ามาเห็นจะเสียใจ”
เสี่ยวเป่า รู้อยู่แล้วว่าท่านปู่ต้องปกป้องข้า!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]