หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3] นิยาย บท 221

อวี๋หวั่นตื่นแต่เช้า ส่วนเด็กน้อยทั้งสามยังคงหลับอยู่ ตอนแรกพวกเขานอนหลับอยู่ตรงกลางระหว่างเธอกับเยี่ยนจิ่วเฉา ไม่รู้ว่ากลิ้งไปที่เท้ากลางดึกได้อย่างไร ยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ อวี๋หวั่นเห็นแล้วก็มีความสุข

เดือนเก้าที่จิงเฉิงหนาวเย็นมาก ทว่าหนานจ้าว หลังจากฝนตกพรำๆ อากาศก็เย็นขึ้นสองสามวันจากนั้นก็กลับมาร้อนอีกครั้งในเช้าวันนี้

แม้หนูน้อยทั้งสามจะนอนเปลือยก้นก็ยังไม่หนาว

เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากเมื่อเยี่ยนจิ่วเฉาไม่ตื่นเช้า เขานอนตัวตรงอยู่ตรงนั้น ดวงตาเบิกกว้าง

อวี๋หวั่นหันไปดู กลับพบว่าเสี่ยวเป่ายื่นเท้าพาดหน้าอกของเขา เหนือกว่านั้นเพียงไม่กี่นิ้วก็แทบจะแหย่รูจมูกของเขาแล้ว

ท่าทางที่น่ารังเกียจและไม่เหมาะสมเช่นนี้ บุรุษผู้นี้กลับสนุกกับมัน?

เยี่ยนจิ่วเฉาเล่นกับเท้าน้อยๆ ของบุตรชาย

ท่าทางจริงจัง ราวกับกำลังทำข้อสอบ

อวี๋หวั่นหลงใหลในท่าทางเช่นนั้นของเขา ในใจพลันรู้สึกสั่นไหว อย่ามองว่าเขารังเกียจสิ่งนั้นไม่ชอบสิ่งนี้เสมอไป อย่างไรเสียก็เป็นพ่อของลูกที่รักพวกเขามากกว่าใคร เขามีความรักที่ลึกซึ้งและเป็นบิดาที่ดีที่สุดในใต้หล้า!

เยี่ยนจิ่วเฉาสนุกจนพอแล้วก็โยนบุตรชายทิ้งไปข้างๆ พลันลุกขึ้นด้วยความขยะแขยง

อวี๋หวั่น “…”

นี่ท่านแค่เล่นจริงๆ น่ะหรือ?

เท้าของบุตรชายมีสิ่งใดน่าสนุก?!

สองสามีภรรยาลุกขึ้นจากที่นอน

เยี่ยนจิ่วเฉาไม่มีนิสัยให้หญิงรับใช้ช่วยสวมเสื้อผ้าให้ เขาสวมใส่มันด้วยตนเอง ส่วนอวี๋หวั่นก็หยิบเข็มขัดใส่ให้เขา “จริงสิ ข้าลืมถามว่าท่านพบเสี่ยวเป่าได้อย่างไร? ไปตามหาที่ใดหรือ?”

“สัตว์พิษของอาเว่ย” เยี่ยนจิ่วเฉาตอบคำถามแรก

พวกอาเว่ยออกเดินทางไปตามหาคัมภีร์ เยี่ยนจิ่วเฉาได้มอบเครื่องเคลื่อนย้ายให้แก่พวกเขา อาเว่ยก็มอบสัตว์พิษให้เยี่ยนจิ่วเฉา ซึ่งมันสามารถใช้ติดตามลมหายใจของเด็กๆ สามารถพาไข่ดำทั้งสามมาถึงหนานจ้าวได้อย่างปลอดภัย หากไร้ทักษะดูแลจัดการบ้านก็คงเป็นไปไม่ได้

อาเว่ยที่ปากบอกว่าไม่ชอบศิษย์อย่างสุดจะทน แท้จริงกลับกังวลว่าพวกเขาจะหลงทางมากกว่าใคร

อาเว่ยชำนาญลู่ทางถึงเพียงนี้ เกรงว่าที่ผ่านมา เด็กๆ คงเดินหลงไปมาไม่ต่ำกว่าครั้งสองครั้งเป็นแน่

“ลำบากอาเว่ยยิ่งนัก” อวี๋หวั่นตัดสินใจ รอให้อาเว่ยกลับมาเธอจะตอบแทนเขาอย่างงาม!

เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้ตอบว่าเขาพบเสี่ยวเป่าที่ใด อวี๋หวั่นคิดเรื่องอาเว่ยพักหนึ่ง จนลืมคำถามหลัง พลันเอ่ยพึมพำ “พวกอาเว่ยไปที่วิหารราชครูหลายวันแล้ว ไม่รู้ยามนี้เป็นอย่างไรบ้าง หากไม่ได้ของก็ยังพอคิดหาวิธีอีกได้ อย่าให้คนเป็นอะไรก็พอ”

เยี่ยนจิ่วเฉากล่าว “หากไม่มีข่าวมา ก็หมายความว่าไม่ได้เกิดเรื่องขึ้น”

อวี๋หวั่นคิดว่านี่ดูมีเหตุผล หากวิหารราชครูพบหัวขโมย ในเมืองคงเกิดความโกลาหล ยามนี้เมืองหลวงยังเงียบสงบ เห็นได้ว่าพวกเขาซ่อนตัวอยู่ในวิหารราชครูได้เป็นอย่างดี

ยิ่งไปกว่านั้น วั่นซูเก๋อมีขนาดใหญ่ยิ่ง เป็นไปไม่ได้ที่จะพบคัมภีร์เล่มเล็กๆ เล่มหนึ่งจากกองหนังสือหลายพันเล่มภายในสิบวันหรือครึ่งเดือน

“อื้อ อื้อ~”

ต้าเป่าตื่นขึ้นพลันบิดตัวไปมา

อวี๋หวั่นได้ยินเสียงเล็กๆ จากจมูกของเขา พลางยิ้มอย่างรู้ทันและเดินไปหา “ต้าเป่า?”

ต้าเป่าขยี้ตาคลานไปหาอวี๋หวั่น

อวี๋หวั่นกอดบุตรชายไว้ในอ้อมแขน “เรียกแม่”

ต้าเป่าเบิกตามองอวี๋หวั่น

น้องชายพูดได้กันหมดแล้ว แต่พี่ชายกลับยังไม่ยอมพูด อวี๋หวั่นบีบจมูกน้อยๆ ของเขา “ยามใดต้าเป่าจะเรียกแม่น้า?”

ต้าเป่าถูหัวน้อยๆ ไปมาในอ้อมแขนของอวี๋หวั่น

เอาละ อยากพูดเมื่อไหร่ก็คงพูดได้เอง เสี่ยวเป่าและเอ้อร์เป่าเป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าทักษะด้านภาษาของพวกเขาปกติดี ต้าเป่าพูดได้ เพียงแต่ช้าหรือเร็วเท่านั้น

อวี๋หวั่นแต่งตัวให้ต้าเป่า ไม่นานเอ้อร์เป่าและเสี่ยวเป่าก็ตื่น

เสี่ยวเป่าอ้าปากคำแรกก็เรียกแม่ เอ้อร์เป่าเอาใจคนได้ดีกว่าเขา แล้วยังเรียกท่านพ่อมากกว่า แต่ด้วยท่านพ่อคำนี้ เอ้อร์เป่าจึงถูกท่านพ่อที่เคารพรักอุ้มไปอย่างมีความสุข

ฮู่ฮ่า! ท่านแม่เป็นของเสี่ยวเป่าแล้ว!

เสี่ยวเป่านั่งในอ้อมแขนของอวี๋หวั่น แลบลิ้นใส่พี่ชายที่ถูกเยี่ยนจิ่วเฉาอุ้มไป “แบร่ แบร่ แบร่!”

หัวใจของเอ้อร์เป่าคร่ำครวญ ฮื้อ!

อวี๋หวั่นสวมเสื้อผ้าให้เสี่ยวเป่า

เสี่ยวเป่ากระโดดลงจากเตียงและกอดขาของอวี๋หวั่น “ท่านแม่! ท่านแม่!”

อวี๋หวั่นกล่าวอย่างขำขัน “แม่ต้องไปทำธุระ”

เสี่ยวเป่ายังคงเกาะต้นขาอวี๋หวั่นโดยไร้ยางอาย “ไม่ต้องทำ! ท่านแม่อยู่กับเสี่ยวเป่า!”

อวี๋หวั่นเลิกคิ้วและกล่าวว่า “หากแม่ไม่ทำ เสี่ยวเป่าก็จะไม่มีนมดื่มนะ”

เสี่ยวเป่ายอมปล่อยท่านแม่ของเขาในไม่กี่วินาที!

อวี๋หวั่นหัวเราะขบขัน เสี่ยวเป่ากระทืบเท้าอย่างละอายใจและวิ่งไปหาฮูหยินผู้เฒ่า

“ย่าทวด! ย่าทวด! คิดถึงเสี่ยวเป่าหรือไม่?” เสี่ยวเป่ารีบวิ่งเข้าไปในห้องของฮูหยินผู้เฒ่าราวกับพายุหมุน

ฮูหยินผู้เฒ่าที่เพิ่งให้ข้ารับใช้หวีผมเสร็จ อ้าแขนกอดลูกตุ้มน้อย พลางกล่าวอย่างเมตตาและอ่อนโยน “คิดถึง! ย่าทวดต้องคิดถึงเสี่ยวเป่าอยู่แล้ว! เสี่ยวเป่าเล่า คิดถึงย่าทวดหรือไม่?”

เสี่ยวเป่าอ้าปากเอ่ย “คิดถึงสิ! คิดถึงย่าทวดที่สุด!”

ฮูหยินผู้เฒ่าได้ฟังก็หลงใหลเด็กน้อยคนนี้ ตื่นแต่เช้าก็ได้ยินวาจาเช่นนี้ ไม่ต้องกินน้ำตาล หัวใจก็หวานฉ่ำไปทั้งวัน

ไม่นาน ต้าเป่าและเอ้อร์เป่าก็มาด้วย

เอ้อร์เป่าเรียกย่าทวดด้วยน้ำเสียงไพเราะ

ต้าเป่าไม่พูดอะไร เพียงพุ่งตัวเข้าไปในอ้อมแขนของฮูหยินผู้เฒ่าและขดตัวอยู่พักหนึ่ง

ไม่ว่ามองคนใดฮูหยินผู้เฒ่าก็ชอบไปหมด

เด็กน้อยทั้งสามดูเหมือนกันมากจนบรรดาข้ารับใช้มักจะเรียกผิด ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากลับไม่เคยเรียกผิดแม้แต่ครั้งเดียว ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวว่า “เหลนข้า ข้าจะจำไม่ได้เชียวรึ!”

อวี๋หวั่นกับเยี่ยนจิ่วเฉาก็มาด้วย

เยี่ยนจิ่วเฉารับถังหูลู่และข้าวเหนียวมูนมา

คนตัวเล็กอดใจรอไม่ไหวรีบอ้าปากน้อยๆ

เยี่ยนจิ่วเฉาใช้ไม้จิ้มก้อนข้าวเหนียวมูนป้อนบุตรชาย คนตัวเล็กยืนอยู่ตรงข้ามเยี่ยนจิ่วเฉา ซึ่งหันหลังให้รถม้าของประมุขหญิง เพราะร่างกายที่ถูกบดบัง ประมุขหญิงจึงไม่อาจมองเห็นใบหน้าของเด็กๆ

ประมุขหญิงจมอยู่ในห้วงความคิดที่ตกตะลึง

“ฝ่าบาท พระองค์ต้องการรับสั่งอันใดหรือไม่?” สารถีเอ่ยถาม

ประมุขหญิงถอนสายตากลับมา ทรวงอกของนางเคลื่อนไหวขึ้นลงอย่างรุนแรง นางพยายามทำจิตใจให้มั่นคง และเมื่อหันไปมองร้านขนมหวานอีกคร้ัง เยี่ยนจิ่วเฉากับบุตรของเขาก็หายไปแล้ว

“นี่ข้าตาฝาดไปหรือไม่?” ประมุขหญิงหลับตาลงและรับสั่ง “กลับจวน”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

สารถีบังคับรถม้ากลับไปยังจวนประมุขหญิง

หลังจากประมุขหญิงลงจากรถม้า ก็ไม่ได้ไปที่ใด หากแต่มุ่งหน้าตรงไปยังห้องตำราของราชบุตรเขย

ราชบุตรเขยหลงรักการอ่านหนังสือ ประมุขหญิงจึงพยายามรวบรวมหนังสือที่เลื่องลือมาจากทั่วสารทิศ และสร้างหอเก็บหนังสือในจวน ราชบุตรเขยใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในหอเก็บหนังสือ ตอนนี้ก็เช่นกัน

ห้องตำราว่างเปล่า ที่นี่ไม่มีผู้ใดกล้าบุกเข้ามานอกจากประมุขหญิงผู้นี้

ประมุขหญิงเดินไปที่โต๊ะทำงานด้วยท่าทีเย็นชา จากนั้นจึงค้นข้าวของในลิ้นชักและตะกร้า

ในที่สุดก็พบกับภาพวาด

ภาพวาดนั้นเผยให้เห็นใบหน้าที่นางเพิ่งจะพบมาจากในเมืองวันนี้

‘ท่านวาดรูปตัวเองเพื่ออันใดหรือ? แล้วยังวาดรูปลักษณ์ที่อายุน้อยเช่นนี้ ข้าบอกแล้วว่าข้ามิได้ใส่ใจเรื่องใบหน้าที่เสียหายของท่าน ท่านเองก็อย่าได้รังเกียจเลย ข้าพูดสิ่งใดผิดไปหรือ? ข้าไม่ได้โทษว่าท่านวาด…ข้า…’

‘ไม่ใช่ข้า’

‘ท่านว่าอย่างไรนะ?’

‘ไม่มีอันใด’

ตอนนั้นนางยังไม่เข้าใจ ทว่าความหมายของราชบุตรเขย ชัดเจนว่าบุคคลในภาพวาดนั้นไม่ใช่เขา!

หากไม่ใช่ราชบุตรเขย แล้วจะเป็นใคร?

ชายหนุ่มผู้นั้น? ราชบุตรเขยเคยพบเขาแล้วยังวาดรูปเขาออกมา!

วาดไปเพื่ออะไร? รู้สึกว่าเหมือนตัวเอง หรือ…

ประมุขหญิงพลันรู้สึกเวียนหัว นางจับโต๊ะ เมื่อตั้งตัวได้แล้วก็กล่าวเสียงเยียบเย็น “คนข้างนอกเข้ามาหน่อย!”

องครักษ์คนหนึ่งก้าวเข้ามาคำนับมือแล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาทมีสิ่งใดรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ?”

ประมุขหญิงหยิบม้วนภาพวาดขึ้นมาวางต่อหน้าเขาและกล่าวอย่างหนักแน่น “จงไปหาว่าคนผู้นี้เป็นใคร! ราชบุตรเขยพบเขาเมื่อใด? และกล่าวสิ่งใดกับเขาบ้าง?”

…………………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]