เห้อเหลียนเป่ยหมิงคิดไม่ตกว่าเหตุใดประมุขหญิงจึงมาเยี่ยมเยียนถึงบ้าน ตั้งแต่ร่างกายของเขามีปัญหา ก็ค่อยๆ ห่างจากราชสำนัก ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเขาได้ทูลขอองค์ประมุขหยุดพักยาว ตอนนี้เขาอยู่ระหว่างการพักฟื้นที่บ้าน เรื่องของราชสำนักและค่ายทหารไม่จำเป็นต้องถามเขา ดังนั้นจึงไม่น่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทางการ
เรื่องส่วนตัวยิ่งเป็นไปไม่ได้
สกุลเห้อเหลียนไม่เคยติดต่อกับจวนประมุขหญิง จะมีเรื่องส่วนตัวใดที่ควรค่าแก่การเสด็จมาเยี่ยมเยียนด้วยตนเอง?
เห้อเหลียนเป่ยหมิงไปที่โถงบุปผาของจวนตะวันออกเพื่อพบประมุขหญิง
ประมุขหญิงไม่ได้สวมชุดของราชสำนัก ดูแล้วก็เหมือนกับการมาเยี่ยมเยียนธรรมดาๆ นางนั่งในตำแหน่งหลักด้วยท่าทางสง่างาม โดยมีโม่ซังและหญิงรับใช้อีกสองคนยืนขนาบข้าง
พ่อบ้านแห่งจวนตะวันออกนำชาที่ชงสดใหม่มาถวาย ทว่าหาใช่ชาที่ดีที่สุดในจวน ฮูหยินผู้เฒ่าใช้ชาที่ดีที่สุดไปกับการเอาอกเอาใจเหลนตัวน้อย
ประมุขหญิงไม่ได้มาที่นี่เพื่อดื่มชา
อวี๋กังดันเก้าอี้รถเข็นเข้ามายังห้องโถงบุปผา จากนั้นก็ยืนคุ้มกันใต้เท้าของเขาอยู่ด้านหลัง
เห้อเหลียนเป่ยหมิงเส้นเอ็นขาด สูญเสียวรยุทธ์ องค์ประมุขจึงไม่ให้เขาทำความเคารพต่อผู้ใด
เห้อเหลียนเป่ยหมิงค้อมกายเล็กน้อยไปทางคนที่นั่งอยู่ “ไม่ทราบว่าฝ่าบาทจะเสด็จมา ขออภัยที่กระหม่อมมิได้ออกไปต้อนรับ ขอฝ่าบาทโปรดยกโทษ”
ประมุขหญิงยิ้มกว้างพร้อมกับตรัสว่า “แม่ทัพใหญ่มิต้องมาพิธี”
อวี๋กังดันเก้าอี้รถเข็นไปที่ประมุขหญิงนั่งประทับอยู่
สายตาอ่อนโยนของประมุขหญิงจ้องมองใบหน้าอันหล่อเหลาของเห้อเหลียนเป่ยหมิง นางคลี่ยิ้มและตรัสว่า “ไม่พบแม่ทัพใหญ่เสียนาน ร่างกายเป็นอย่างไรบ้าง?”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงกล่าว “กระหม่อมสบายดี ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเป็นห่วง”
ประมุขหญิงตรัสอีกครั้ง “ไม่ทราบว่าฮูหยินผู้เฒ่าเป็นอย่างไรบ้าง?”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงตอบ “ท่านแม่สุขภาพแข็งแรง ทุกอย่างล้วนปกติสุขพ่ะย่ะค่ะ”
“เป็นเช่นนี้ข้าก็สบายใจ ครั้งก่อนข้าเห็นฮูหยินผู้เฒ่า นางจำไม่ได้ว่าข้าเป็นใคร” ประมุขหญิงกล่าวพลางก้มหน้าหัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะเงยขึ้นมองเห้อเหลียนเป่ยหมิงอีกครั้ง
คำถามที่ดูเหมือนไม่ได้ใส่ใจ กลับเป็นคำถามว่าแท้จริงแล้วฮูหยินผู้เฒ่ามีสติรู้ตัวหรือไม่
เห้อเหลียนเป่ยหมิงแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ “ท่านแม่ได้พบฝ่าบาทไม่บ่อยนัก”
“จะว่าอย่างนั้นก็ใช่” ประมุขหญิงถูกปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม
หลังจากทั้งสองทักทายกันครู่หนึ่ง ก็สนทนากันอย่างเรียบง่าย
เห้อเหลียนเป่ยหมิงเอ่ยตัดเข้าประเด็นหลัก “วันนี้ฝ่าบาทเสด็จมาเยือนถึงจวนเห้อเหลียน ไม่ทราบว่าด้วยเรื่องอันใด องค์ประมุขมีรับสั่งอันใดหรือไม่?”
ประมุขหญิงตรัสตอบ “ไม่ใช่เสด็จพ่อของข้า เป็นข้าที่มาด้วยตนเอง ข้าได้ยินว่าพบญาติของแม่ทัพใหญ่แล้ว เขาเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเด็กที่ตกจากหน้าผา ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่”
“มีเรื่องเช่นนี้จริง น้องชายข้าโชคร้ายตกจากหน้าผา ไม่เหลือแม้กระทั่งกระดูก แม้หลายคนจะบอกว่าเขาตายไปแล้ว ทว่าท่านแม่กับข้าเชื่อมาตลอดว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ไม่กี่ปีที่ผ่านมาข้าได้ยินข่าวเรื่องที่อยู่ของน้องชาย ฟ้าย่อมเมตตาผู้มีใจ ในที่สุดข้าก็ตามพบ แต่น่าเสียดายที่มาช้าไปหนึ่งก้าว น้องชายและน้องสะใภ้ได้จากไปแล้ว เคราะห์ดีที่ทั้งคู่ได้ทิ้งเลือดเนื้อของพวกเขาไว้ ท่านแม่ดีใจมากที่ได้พบเด็กคนนั้น ราวกับว่าน้องชายกลับมามีชีวิตอีกครั้งจริงๆ”
ยามที่เห้อเหลียนเป่ยหมิงเล่าเรื่องนี้ สายตาของประมุขหญิงจับจ้องใบหน้าของเขาตลอดเวลา ราวกับต้องการค้นว่าเขามีสิ่งใดซ่อนอยู่หรือไม่
“ทว่า” เห้อเหลียนเป่ยหมิงชะงักไปครู่หนึ่ง “เรื่องนี้ ข้ายังไม่ได้ประกาศต่อสาธารณะ ไม่ทราบว่าฝ่าบาททราบข่าวมาจากที่ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ผู้ที่กล้าถามประมุขหญิงอย่างเปิดเผยนอกจากราชบุตรเขยแล้ว ก็มีเพียงบุรุษผู้นี้เท่านั้น
ประมุขหญิงคาดไว้แต่แรกแล้วว่าเขาจะถามคำถามนี้ จึงไม่ได้ปิดบังและกล่าวไปตามความจริง “ข้าได้ยินมาจากซีเอ๋อร์ ดูเหมือนว่าระหว่างซีเอ๋อร์กับคุณชายใหญ่และภรรยาคุณชายใหญ่ที่เพิ่งกลับมาจะมีความเข้าใจผิดกัน เป็นเพียงเรื่องซุกซนของเด็กๆ เท่านั้น แม่ทัพใหญ่อย่าได้ใส่ใจ”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงกล่าวด้วยท่าทางปวดหัว “เป็นอวี่เอ๋อร์กับเฉิงเอ๋อร์กระมัง? เด็กสองคนนี้ ข้าเตือนพวกเขาว่าอย่าไปรบกวนองค์หญิงน้อย พวกเขาก็ไม่ฟัง ทำให้องค์หญิงน้อยเดือดร้อนแล้ว ข้าขออภัยฝ่าบาทและองค์หญิงน้อยแทนพวกเขาด้วย”
ประมุขหญิงยิ้มอย่างสุภาพ “เรื่องนี้เริ่มมาได้อย่างไรนะ? เรื่องบ้านเมืองก็คือเรื่องบ้านเมือง เรื่องเด็กๆ ก็เป็นเรื่องเด็กๆ พวกเขาเติบโตมาด้วยกัน รักใคร่กลมเกลียวมากกว่าธรรมดา ท่านอย่าได้ตำหนิพวกเขาเลย”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงกล่าวอย่างเคร่งขรึม “กระหม่อมรับพระบัญชา”
เห้อเหลียนอวี่และเห้อเหลียนเฉิงไม่ใช่บุตรชายคนโตของสกุลเห้อเหลียน พวกเขาไม่อาจเป็นผู้สืบทอดสกุล ทั้งคำพูดและการกระทำของพวกเขาก็ไม่อาจแสดงจุดยืนทั้งหมดของสกุลเห้อเหลียนได้ ดังนั้นการตีตัวออกห่างจากจวนประมุขหญิงจะเป็นการดีที่สุด แต่หากช่วยไม่ได้ การรู้จักกันเล็กน้อยก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ทว่าหากเปลี่ยนเป็นบุตรชายคนโตจากเรือนหลักไปข้องแวะกับองค์หญิงน้อยอยู่ไม่ขาด เกรงว่าจะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ประมุขหญิงแย้มยิ้ม ตรัสต่อราวกับไม่ได้ครุ่นคิดในคำพูด “วันนี้เด็กๆ อยู่บ้านหรือไม่? ข้ายังไม่เคยเห็นเขาเลย”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงถอนหายใจและกล่าวว่า “ช่างไม่บังเอิญเสียจริง เฉาเอ๋อร์เขาออกไปข้างนอกแล้ว เด็กหนุ่มอยู่ในจวนตลอดทั้งวันคงจะเบื่อยิ่งนัก ข้าจึงให้องครักษ์พาเขาออกไปเที่ยวเล่นแล้ว”
“อา” ประมุขหญิงพยักหน้าด้วยความเข้าใจ ตรัสต่ออย่างยิ้มแย้ม “อันที่จริงก็ไม่มีเรื่องใหญ่อะไร ซีเอ่อร์ถูกข้าเลี้ยงดูจนเสียนิสัย วาจาและการกระทำของนางไร้เดียงสา ข้าไม่อยากให้เกิดข่าวลือไปว่าซีเอ๋อร์รังแกหลานชายคนโตของสกุลเห้อเหลียน”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “กระหม่อมยืนยันกับฝ่าบาทว่าเรื่องเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้น”
ประมุขหญิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากท่านกล่าวเช่นนี้ข้าก็โล่งใจ ซีเอ๋อร์อายุสิบเจ็ดแล้ว ใกล้ถึงคราวออกเรือน ชื่อเสียงของนางก็ไม่ดีนัก ข้าละปวดหัวยิ่งนัก”
“กระหม่อมเข้าใจ” เห้อเหลียนเป่ยหมิงค้อมกาย
ประมุขหญิงกล่าวอย่างอ่อนโยน “เริ่มเย็นแล้ว ข้าต้องขอตัวกลับก่อน นี่เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากข้า มอบให้ฮูหยินผู้เฒ่าและบุตรสองคน” ประมุขหญิงยกมือขึ้นชี้ไปที่กล่องผ้าสองสามกล่องที่วางอยู่บนโต๊ะ
เห้อเหลียนเป่ยหมิงกล่าว “ขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
ประมุขหญิงลุกขึ้นกล่าวอำลา
เห้อเหลียนเป่ยหมิงส่งนางออกจากโถงบุปผา ประมุขหญิงขอให้เขาหยุดส่งตรงนี้ และจากไปพร้อมกับองครักษ์และหญิงรับใช้
หญิงรับใช้ทั้งสองเดินตามหลังสายตาแน่วแน่ โม่ซังเดินตามมาและกระซิบกับประมุขหญิง “ฝ่าบาท คุณชายผู้นั้นเป็นคนของสกุลเห้อเหลียนจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ประมุขหญิงถามกลับ “ในสายตาเจ้าเห้อเหลียนเป่ยหมิงเป็นคนเช่นไร?”
โม่ซังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “ภักดีต่อชาติ ซื่อสัตย์ทรงคุณธรรม เป็นขุนนางที่พิถีพิถันหาใดเปรียบ”
ประมุขหญิงยิ้มอย่างแผ่วเบา “แต่ก็เป็นบุตรกตัญญูที่หาได้ยากยิ่งเช่นกัน”
โม่ซังผงะ “ฝ่าบาทหมายถึง…”
ประมุขหญิงตรัส “ข้าจำได้ว่าปีหนึ่งฮูหยินผู้เฒ่าอยากกินลิ้นจี่จากอำเภอจวิ้น ทว่าปีนั้นสะพานสู่อำเภอจวิ้นได้พังลง ถนนผ่านไปไม่ได้ กลุ่มคาราวานพ่อค้าก็ยังไม่เต็มใจจะไปที่นั่น เห้อเหลียนเป่ยหมิงขอทูลลากับองค์ประมุข เดินทางไปซื้อลิ้นจี่จากอำเภอจวิ้นกลับมาด้วยตัวเอง ทว่าลิ้นจี่ที่ซื้อมาฮูหยินผู้เฒ่ากลับไม่กิน หลังจากนั้นไม่กี่วัน ฮูหยินผู้เฒ่าก็เริ่มพูดถึงลิ้นจี่จากอำเภอจวิ้นอีกครั้ง เขารู้ดีว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะลืมเรื่องที่นางพูดไปในไม่กี่วัน แต่เขาก็ยังตัดสินใจไปอย่างเด็ดเดี่ยว เขาเป็นคนเช่นนี้ เพื่อให้ฮูหยินผู้เฒ่าพึงพอใจแล้วเขาทำได้ทุกอย่าง”
“ฝ่าบาทกำลังจะบอกว่า เด็กคนนั้นไม่ใช่ตัวจริง เป็นเพียงคนที่เขาหามาจากข้างนอกเพื่อสนองความต้องการของฮูหยินผู้เฒ่าหรือ?”
“เมื่อกล่าวถึงเด็กคนนั้น เขาระมัดระวังตัวมาก และถึงกับไม่ยอมให้ข้าได้เห็นเขาด้วย ดังนั้นข้าจึงไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อย ทว่า…” ประมุขหญิงไม่ตรัสสิ่งใดต่อหลังจากนั้น
หากเด็กคนนั้นไม่ใช่บุตรแท้ๆ เช่นนั้นคนที่หน้าตาเหมือนก็เหลือเพียงซื่อจื่อแห่งต้าโจว ประมุขหญิงรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะซื่อจื่อผู้นั้นเป็นฆาตกรที่สังหารเห้อเหลียนฉี หากเห้อเหลียนเป่ยหมิงต้องการเอาใจฮูหยินผู้เฒ่า ก็คงไม่ถึงกับพาฆาตกรที่ฆ่าญาติเข้าบ้านตัวเอง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]