แน่นอนว่า เรื่องราวเหล่านี้เป็นเพียงการคาดเดาของนายท่านรองใหญ่ ความจริงเป็นอย่างไร จะไม่มีผู้ใดรู้ไปชั่วนิรันดร์
เห้อเหลียนเป่ยหมิงพูดคุยกับนายท่านรองใหญ่อยู่ครู่หนึ่ง คุยไปสักพักหนึ่งนายท่านรองใหญ่ก็หลับตาลง
เห้อเหลียนเป่ยหมิงตกใจ “ท่านอารอง…นอนแล้วหรือ?”
เปล่า ข้าโมโหเจ้าจนมึนหัว
นางหลี่เดินเข้ามาในเรือนเพื่อฟ้องพ่อสามี เห้อเหลียนเป่ยหมิงและอวี๋เซ่าชิงออกไปแล้ว แต่นายท่านรองใหญ่ก็หมดสติไปแล้วเช่นกัน
เรื่องที่เห้อเหลียนเป่ยอวี้เติบโตในหมู่บ้านเหลียนฮวา หลังจากที่เห้อเหลียนเป่ยหมิงใคร่ครวญพักหนึ่งก็คิดว่ายังไม่จำเป็นต้องพูดออกไป อย่างไรเสียมือสังหารก็ยังไม่ถูกกำจัด อย่าเปิดเผยตัวตนของเถี่ยตั้นน้อยจะดีกว่า
“เถี่ยตั้นน้อยหน้าเหมือนเจ้าหรือเหมือนน้องสะใภ้?” ระหว่างทางเดินกลับเรือน เห้อเหลียนเป่ยหมิงถามน้องชาย
อวี๋เซ่าชิงมีสีหน้าจริงจัง “ก็ต้องเหมือนข้าน่ะสิ!”
ลูกสาวหน้าเหมือนอาซู ลูกชายหน้าเหมือนเขา เหมือนมากๆ ด้วย! เหมือนอย่างกับเคาะออกมาจากพิมพ์เดียวกัน!
เห้อเหลียนเป่ยหมิงจินตนาการภาพเด็กน้อยแล้วก็อดยิ้มมุมปากไม่ได้ “หากท่านแม่ได้พบเถี่ยตั้นน้อย ต้องชอบมากเป็นแน่ ทว่าตอนนี้ อย่าเพิ่งบอกนางดีกว่า เผื่อนางรีบร้อนอยากพบหน้าเขาแล้วไม่สบายอีก”
แน่นอนอยู่แล้ว ไม่ต้องให้เจ้าเตือนหรอก!
อวี๋เซ่าชิงทำสีหน้าบูดบึ้งใส่พี่ชายที่เผากระดาษให้เขามาตลอดสามสิบห้าปี เขาแค่นเสียง ‘หึ’ ขึ้นจมูกแล้วแล้วเดินกลับห้องไป
ก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้ว่ามีความเกี่ยวดองกันถึงระดับนี้ จึงคิดจะย้ายไปอยู่ในเรือนของเด็กน้อยทั้งสาม ทว่าบัดนี้เห็นทีคงย้ายไปไม่ได้แล้ว เพราะระหว่างที่สองพี่น้องไปจวนตะวันตก ฮูหยินผู้เฒ่าก็ให้บ่าวยกสัมภาระของอวี๋เซ่าชิงและนางเจียงเข้าไปยังสวนอู่ถง
จวนตะวันออกนับวันจะคึกคักมากขึ้น
บ่าวในจวนตะวันออกต่างเห็นตรงกันว่าจวนตะวันออกนั้นเงียบเหงา เงียบเหงามากขึ้นทุกปี บ่าวชายในจวนตะวันออกก็มีไม่มาก ครั้นคุณหนูกับนายท่านใหญ่ยังอยู่ก็ยังนับว่าพอทนได้ ภายหลังคนหนึ่งออกเรือนไป อีกคนหนึ่งล่วงลับไป หลังจากนั้นนางถานและคุณชายใหญ่ก็เกิดเรื่อง จวนซึ่งเดิมทีไม่ได้คึกคักมากนักก็แปรเปลี่ยนเป็นจวนอันว่างเปล่า
ฮูหยินผู้เฒ่าและแม่ทัพใหญ่ตัดขาดจากการติดต่อกับโลกภายนอก บ่าวสังเกตเห็นว่าแม้แต่นกกระจอกก็ไม่บินผ่านจวนตะวันออกดังเคย
ราวกับว่าความคึกคักเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับจวนตะวันตกเพียงฝั่งเดียว
หากเปรียบว่าท้องฟ้าเหนือจวนตะวันออกเป็นสีเทา ท้องฟ้าเหนือจวนตะวันตกก็คงเป็นสีคราม แต่งแต้มด้วยสายรุ้ง
ทว่าบัดนี้ พวกเขาไม่จำเป็นต้องรู้สึกอิจฉาจวนตะวันตกอีกต่อไป
พ่อครัวหลิวเป็นผู้อาวุโสในจวนตะวันออก เขาเป็นพ่อครัวในจวนมาสามสิบปี ตั้งแต่ครั้นนายท่านใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ หลานๆ ของเขาล้วนแต่เกิดในจวน แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยมีงานมากเพียงนี้ งานยุ่งจนตัวเป็นเกลียว งานยุ่งจนไม่ได้ดื่มน้ำ แต่เขาก็มีความสุขที่ได้ทำ
“อาจารย์หลิว วันนี้ทำอะไรหรือขอรับ?” ลูกศิษย์ถาม
ก่อนที่คุณชายใหญ่จะกลับจวนมา ฮูหยินผู้เฒ่าค่อนข้างจุกจิก แต่หลังจากที่รับหลานชายกลับจวนมาแล้ว หลานชายแสนดีกับหลานสะใภ้ของนางกินอะไร นางก็กินอย่างนั้น
นอกจากนั้น สิ่งใดถูกปากคุณชายใหญ่ ฮูหยินน้อย รวมไปถึงคุณชายน้อยทั้งสาม พ่อครัวหลิวล้วนแต่สืบทราบมาพอสมควร กับข้าวที่เขาเลือกซื้อมาก็ล้วนเป็นของที่พวกเขาชอบ ส่วนนายท่านรองกับฮูหยินรองที่เพิ่งเข้ามาอยู่นั้น…จากการสังเกตของพ่อครัวหลิว เขาพอจะมีแผนอยู่ในใจแล้ว
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม อาหารร้อนกรุ่นก็ถูกยกเข้ามาจัดวางจนเต็มโต๊ะ
คนทั้งครอบครัวกินอาหารกันอย่างคึกคัก ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ยินดีให้ลูกสะใภ้คอยยืนรับใช้ตามธรรมเนียม จึงดึงมือของนางเจียงเพื่อให้นางนั่งลง
นางเจียงรูปร่างหน้าตางดงาม ทั้งยังป่วยกระเสาะกระแสะ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าทำให้คนรู้สึกเห็นใจได้มากเพียงใด
พ่อครัวหลิวทำไข่ตุ๋นหอยตลับ เห็ดโคนแห้งผัดกุ้ง เต้าหู้ผัดไข่ปู เนื้อแพะตุ๋นน้ำแดง น้ำแกงแฟงใส่ลูกชิ้น ผักกาดดองเปรี้ยวหวาน บวบผัด ทั้งยังมีหมูสามชั้นน้ำแดงมันเลื่อมน่ากิน มีกระเทียมและต้นหอมเป็นกับแกล้ม อยู่เบื้องหน้าของนางเจียง
นางเจียง: ต้นหอม! กระเทียม! ซู้ดดด!
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่รู้ว่าลูกสะใภ้ชอบกินอะไร จึงคีบให้นางเจียงกินทุกอย่าง
เมื่อเห็นต้นหอมและกระเทียมกองพูนชามข้าวของนางเจียง จุดไท่หยางของอวี๋เซ่าชิงก็กระตุกตุบๆ ของรสจัดเช่นนี้ อาซูไม่กินหรอก! อาซูเป็นสตรีบอบบาง!
อวี๋เซ่าชิงคิดจะคีบอาหารในชามของนางเจียงมาให้ตนเอง นางเจียงแตะมือของเขา แล้วบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เป็นความปรารถนาดีของแม่สามี ข้าเป็นลูกสะใภ้ ไม่ควรปฏิเสธ”
อวี๋เซ่าชิงรู้สึกซาบซึ้งใจ อาซูของเขา ช่างเป็นสตรีที่ปราดเปรื่องและอ่อนโยนเหลือเกิน
ต้นหอมและกระเทียมในจานถูกกวาดลงในท้องของนางเจียงอย่างรวดเร็ว จะบอกว่าราวกับถูกพายุพัดหายไปในพริบตาก็ว่าได้
อวี๋เซ่าชิงซึ่งตกใจจนอ้าปากค้าง: อะ…อาซูทำไปก็เพื่อเอาใจฮูหยินผู้เฒ่า ต้องเป็นเช่นนั้นแน่…
หลังจากเวลาอาหารเย็น ทุกคนเดินออกมาจากในเรือน เดินทอดน่องเพื่อย่อยอาหาร
เด็กน้อยทั้งสามเดินเตาะแตะอยู่ด้านหน้าสุด นางเจียงเดินอยู่ด้านข้างฮูหยินผู้เฒ่า อวี๋เซ่าชิงถูกส่งให้ไปเข็นรถเข็นของเห้อเหลียนเป่ยหมิง เขาไม่ได้ยินดีเท่าไรนัก ได้แต่เดินเชิดหน้าด้วยความขุ่นเคือง
เจ้าเห้อเหลียนเป่ยหมิงจอมเจ้าเล่ห์ ใช้ตำราการทหารหลอกล่อเขา ยกมากองให้ตั้งมากมาย สุดท้ายเขาก็ติดบ่วงจนได้
เห้อเหลียนเป่ยหมิงลอบยิ้มน้อยๆ น้องชายของเขาเป็นบุตรชายจากภรรยาเอกของสกุลเห้อเหลียน ภายภาคหน้าสกุลเห้อเหลียนต้องตกเป็นของเขา ตำราทางทหารเหล่านี้ก็เป็นของเขา ตนนำของของเขามาหลอกล่อเขา เขายังคิดไปว่าตนกำลังเอาเปรียบเขาอยู่
วันเวลาสนุกๆ เช่นนี้อยู่ได้ไม่นาน เพราะทันทีที่น้องชายเริ่มคุ้นเคยกับสกุลเห้อเหลียนแล้ว ตนก็จะไม่อาจแกล้งเขาได้อีก เมื่อคิดได้เช่นนี้ เห้อเหลียนเป่ยหมิงจึงเริ่มคำนวณว่าตนมีเวลาเท่าไร และจะแกล้งเขาอย่างไรดี
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]