“อาจมิได้มีเพียงคนเดียว” ขันทีวังเตือน
ฮ่องเต้ก็คิดถึงเหตุผลข้อนี้ ยอดฝีมือในคุกหลวงมีมากราวกับเมฆบนฟ้า ต้องฝีมือเก่งกาจเพียงใดจึงจะสามารถเข้าออกได้ตามอำเภอใจภายใต้จมูกของพวกเขาเช่นนี้? แปดในสิบส่วนย่อมต้องเป็นคนกลุ่มหนึ่ง! ต้องเป็นคนจำนวนมาก! ร่วมมือกับคนภายในซึ่งทรยศ จึงจะสามารถ ‘ขน’ อวี๋เซ่าชิงซึ่งถูกวางยาออกไปได้
ฮ่องเต้โมโหสุดขีด “ดี กล้าลักพาตัวนักโทษประหาร เราไม่สนว่าจะร้อยคนหรือพันคน เราจะส่งทหารไปจับมาให้หมด! ไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียว!”
เดิมทีเยี่ยนจิ่วมาเข้าเฝ้าฮ่องเต้มิใช่เพียงเพราะเรื่องของอวี๋เซ่าชิงเพียงอย่างเดียว ทว่าในเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป เขาก็ทำได้เพียงถอยออกมาก่อน
หลังจากที่เดินออกมาจากห้องทรงพระอักษร เยี่ยนจิ่วเฉาก็ถามอิ่งลิ่วว่า “ลำพังฝีมือของเจ้ากับอิ่งสือซัน เจ้าจะสามารถเข้าออกคุกหลวงได้หรือไม่?”
อิ่งลิ่วครุ่นคิด แล้วตอบว่า “เข้าออกได้ แต่เข้าออกโดยไม่ถูกสังเกตเห็นค่อนข้างยาก และถ้าพาคนหมดสติไปด้วย ยิ่งยากขึ้นไปอีกขอรับ”
เยี่ยนจิ่วเฉาเลิกคิ้ว “เจ้าหมายถึง อิ่งสือซันก็ทำไม่ได้หรือ?”
อิ่งลิ่วตอบตามตรง “ข้าน้อยคิดว่ายาก”
เยี่ยนจิ่วเฉาหัวเราะ “ยิ่งน่าสนใจกว่าเดิมเสียอีก”
……
ณ จวนคุณชาย หลังจากที่อวี๋หวั่นอาบน้ำเสร็จแล้ว ก็เปลี่ยนไปสวมใส่เสื้อผ้าแห้ง และรับการตรวจรักษาจากหมอหลวง
เธอไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในคุกหลวง แต่รู้ว่าเยี่ยนจิ่วเฉาไปคิดหาวิธีแล้ว และในเมื่อเป็นเช่นนี้ เธอก็เพียงทำใจสบายๆ รอผลก็พอแล้ว
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่เธอเริ่มค่อยๆ เชื่อใจเขาขึ้นมา
หมอหลวงท่านนี้แซ่จาง เป็นหนึ่งในหมอที่ไปตรวจรักษาแทนหมอจี่ในเป่าจือถังในวันที่ลุงใหญ่ไปรักษา อวี๋หวั่นถาม จึงรู้ว่าเยี่ยนจิ่วเฉาให้ลุงวั่นไปเชิญเขาและ ‘หมอเหลียง’ มารักษาแทนหมอจี่ เพื่อให้หมอจี่มีเวลาตรวจรักษาลุงใหญ่ได้อย่างเต็มที่
ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือโกหก แต่ว่า…ในเมื่อสามารถเชิญหมอหลวงมาได้ ทำไมไม่เชิญหมอหลวงมารักษาลุงใหญ่ล่ะ? ไม่เห็นจำเป็นจะต้องทำอะไรอ้อมค้อม ระบบสมองของผู้ชายคนนี้…แปลกจริงๆ
“อาการบาดเจ็บของแม่นางไม่หนักมาก ข้าให้ยาทาสลายเลือดคั่ง แม่นางทาสามถึงห้าวัน อาการบวมก็จะลดลง ทาวันละสองครั้ง” หมอจางหยิบยาทากล่องหนึ่งออกมาจากกล่องยา
“ขอบคุณท่านหมอจาง” อวี๋หวั่นรับยามาพร้อมกับกล่าวขอบคุณ
หมอจางยังเตือนอีกว่า “นอกจากนั้น แม่นางต้องพักผ่อนให้มาก อย่าเดินมาก อาการบวมจึงจะดีขึ้น”
อวี๋หวั่นพยักหน้า “ข้าจะจำไว้”
หลังจากนั้น หมอจางก็บอกรายชื่ออาหารแสลงอีกเล็กน้อย อวี๋หวั่นไม่นับว่ามีความรู้เรื่องโภชนาการดีนัก ความรู้เหล่านี้เธออ่านมาบ้าง แต่ก็ยังตั้งใจฟังจนจบ
ฝางมามาเดินออกไปส่งหมอจางด้วยตนเอง ก่อนจะไป นางก็ยกน้ำขิงที่เพิ่งต้มเสร็จมาวางบนโต๊ะด้านข้างอวี๋หวั่น “แม่นางอวี๋อย่างลืมดื่มน้ำขิง”
อวี๋หวั่นคิดว่านี่เป็นเพียงน้ำขิงธรรมดา เมื่อยกขึ้นมากลับพบว่าเป็นทังหยวนต้มน้ำขิง ในน้ำขิงใส่น้ำตาลทรายแดง ไส้ทังหยวนทำจากงาและถั่วลิสง เปลือกนอกนุ่มและเคี้ยวหนึบ ไส้ในหอมและเข้มข้น แต่ไม่หวานเกินไป หากกินทังหยวนเพียงอย่างเดียวจะรู้สึกเลี่ยน หากกินน้ำขิงอย่างเดียวอาจรู้สึกเผ็ด เมื่อกินด้วยกันจะได้รสชาติที่ลงตัว
อวี๋หวั่นเหงื่อออก ความหนาวเหน็บในร่างกายถูกขจัดออกไป ท้องไม่หิว แต่ก็ไม่ได้ท้องอืด พักสักหน่อยก็สามารถกินข้าวเย็นต่อได้
อวี๋หวั่นอดชื่นชมฝีมือในการทำอาหารของพ่อครัวจวนคุณชายไม่ได้ ทั้งรสชาติ สรรพคุณ ปริมาณ ทุกปัจจัยล้วนถูกออกแบบมาได้อย่างประณีตและลงตัวเป็นที่สุด
แล้วเยี่ยนจิ่วเฉาล่ะ? เขาเป็นคนที่…ทำอะไรต้องถึงที่สุดด้วยหรือเปล่า?
ตึง!
ระหว่างที่จมอยู่ในความคิด ประตูห้องก็ถูกเด็กน้อยคนหนึ่งโขกจนเปิดอ้า
เป็นเด็กน้อยทั้งสามที่แอบมองอยู่ด้านหลังช่องประตู มองไปมองมา ศีรษะคงจะหนักเกินไป จึงชนเข้ากับบานประตู
“เด็กๆ เหรอ?” อวี๋หวั่นมองไปยังเงาที่กลิ้งหลุนๆ เข้ามา เมื่อเห็นดังนั้น เธอจึงลุกไปอุ้มพวกเขา ทว่าทันใดนั้นความเจ็บปวดก็แล่นปราดขึ้นจากข้อเท้า เจ็บปวดจนเธอแทบกลั้นหายใจ
น้องเล็กกลิ้งลงมาบนพื้นเป็นคนแรก ตามมาด้วยคนโตและคนรอง
ทั้งสามคนลุกขึ้นมาจากพื้นอย่างมึนงง แล้วโผเข้าหาอ้อมกอดของอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นลูบศีรษะน้อยๆ ของพวกเขา “หลายวันมานี้กินข้าวหรือเปล่า?”
เด็กน้อยทั้งสามพยักหน้า ด้วยกลัวว่าอวี๋หวั่นจะไม่เชื่อ จึงเปิดเสื้อขึ้น เผยให้เห็นพุงกลมๆ
อวี๋หวั่นมองไปยังพุงกลมคล้ายลูกแตงโมก็รู้ได้ทันทีว่าพวกเขากินอิ่ม เผยรอยยิ้มออกมา “เด็กดี”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]