เจ้าของวาจานั้นคือผู้บัญชาการทหารแซ่เยว่ท่านหนึ่ง บิดาของเขาเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของหนิวตั้น ยามแรกเคยต่อต้านขุนนางที่ต้องการส่งตี้จีองค์โตออกไป บิดาของเขาก็เป็นคนที่ตกเป็นเป้า แต่ทว่า บิดาของเขาไม่มีมิตรภาพที่แน่นแฟ้นเช่นองค์ประมุขกับหนิวตั้น จึงถูกคนของจวนท่านตาประมุขหญิงบีบคั้น จนต้องลาออกไปก่อนเวลา
เขาไม่มีร่มเงาของบิดา เข้ามาในค่ายทหารด้วยความสามารถของตนเอง จนได้นั่งตำแหน่งแม่ทัพ
แม้ไม่อาจเทียบได้กับเห้อเหลียนเป่ยหมิง ทว่าในบรรดาแม่ทัพก็นับว่าไม่น้อยหน้า
ทันทีที่เขาเอ่ยปาก ก็มีอีกหลายคนที่เห็นด้วยทันที
ในบรรดากลุ่มคนพวกนั้น มีหลายคนที่มีความไม่พอใจต่อประมุขหญิง และเคยถูกราชบุตรเขยใช้วิธีกดขี่มาก่อน เมื่อยามนี้หาตัวราชบุตรเขยไม่ได้ พวกเขาจึงเอาความโกรธแค้นไปลงกับประมุขหญิง
องค์ประมุขปวดหัว
“เลิกทะเลาะกันได้แล้ว” เขากล่าว “สิ่งที่ควรลงโทษก็ได้ลงโทษแล้ว สิ่งที่ควรยกเลิกก็ถูกยกเลิกแล้ว ข้ามาราชสำนักในวันนี้ มีเรื่องต้องการขอความคิดเห็นจากใต้เท้าทั้งหลาย”
สิ่งที่เขาต้องการพูดถึง คือการพาตี้จีองค์โตกลับมาที่หนานจ้าว
ไหนเลยจะรู้ว่าเขายังไม่ทันเอ่ย ขันทีคนหนึ่งก็กระวีกระวาดเข้ามาด้วยหน้าตาตื่น รีบคุกเข่านอกตำหนักจินหลวน เอ่ยด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น “ฝ่าบาท! บ่าวมีเรื่องจะทูลพ่ะย่ะค่ะ!”
จู่ๆ ก็ถูกขัดจังหวะ สีหน้าขององค์ประมุขดูคาดไม่ถึงเล็กน้อย แต่เขาก็เข้าใจว่าหากไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนยิ่ง พวกบ่าวก็คงไม่กล้ารบกวนถึงตำหนักจินหลวน
เขาตรัสเสียงทุ้ม “รีบว่ามา”
ขันทีกล่าว “วิหารพิษไฟไหม้!”
องค์ประมุขลุกขึ้นและตรัสว่า “เจ้าว่าอย่างไรนะ? วิหารพิษไฟไหม้? มีผู้ใดบาดเจ็บหรือไม่?”
“ยังไม่แน่ชัดพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีกล่าวด้วยความหวาดกลัว
วิหารพิษกับสำนักราชครู เรียกอีกอย่างว่าวิหารเทพขนาดใหญ่สองแห่งของหนานจ้าว ซึ่งเป็นสถานที่ที่ได้รับพรจากเทพเจ้ากู่ ไม่ว่าเป็นที่ใดเกิดเรื่อง ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องธรรมดา
องค์ประมุขส่งกองทหารรักษาพระองค์ไปที่วิหารพิษในทันที ด้านหนึ่งเพื่อช่วยดับไฟ อีกด้านหนึ่งเพื่อทราบสถานการณ์การบาดเจ็บล้มตายและความจริงของการเกิดเพลิงไหม้ครั้งนี้ ไหนเลยจะรู้ว่า กองทหารรักษาพระองค์เพิ่งเดินทาง สำนักราชครูก็ส่งข่าวมา ที่นั่นก็เกิดเพลิงไหม้เช่นกัน!
วิหารเทพใหญ่ทั้งสองเกิดไฟไหม้ นี่กำลังเป็นลางบอกเหตุอะไรบางอย่างหรือไม่?
องค์ประมุขขมวดคิ้ว “เลิกศาล! เรียกราชครูมาพบข้า!”
ราชครูรีบมาอย่างรวดเร็ว
เมื่อครู่เกิดไฟไหม้ เขาจึงไม่ทันได้จัดระเบียบเสื้อผ้าตนเอง จึงมาเข้าเฝ้าองค์ประมุขด้วยสภาพผมเผ้ากระเซอะกระเซิงเช่นนี้
ในห้องทรงอักษร เขายกมือโค้งคำนับ “ฝ่าบาท”
องค์ประมุขมองไปที่แขนเสื้อที่ไหม้ไปครึ่งหนึ่งแล้วตรัสถาม “ราชครูไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
ราชครูส่ายหัว “กระหม่อมไม่เป็นไร”
องค์ประมุขตรัสถามว่า “เหตุใดสำนักราชครูจึงเกิดเพลิงไหม้?”
ราชครูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “เท่าที่กระหม่อมทราบ คลังเก็บของเกิดเพลิงลุกไหม้เป็นที่แรก”
“ผู้ใดวางเพลิง?”
“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าหมายความว่า ไฟมันลุกเองหรือ?”
“เกรงจะเป็นเช่นนั้น”
องค์ประมุขเย้ยหยันอย่างเย็นชา “ไร้สาระ! เพลิงจะลุกเองได้อย่างไร? มีผู้วางเพลิงเพียงแต่พวกเจ้าตรวจไม่พบหรือไม่?”
ราชครูยกมือขึ้นคำนับ “กระหม่อมตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนแแล้ว เวลานั้นไม่มีผู้ใดอยู่ใกล้กับคลังเก็บของ และด้านในก็ยังไม่มีหนังสือที่อาจทำให้เกิดไฟได้”
“ฝ่าบาท!” รองผู้บัญชาการกองทหารรักษาพระองค์ที่เดินทางไปตรวจสอบวิหารพิษกลับมาแล้ว องค์ประมุขพยักหน้าให้ขันทีหวัง ขันทีหวังจึงเปิดทางให้เขาเข้าเฝ้าประมุขที่ห้องทรงอักษร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]