สกุลเห้อเหลียนไม่ได้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในสังคมมาเป็นเวลานาน สมกับที่เป็นสกุลอันดับหนึ่งในหนานจ้าว สกุลเห้อเหลียนแทบไม่เคยตกเป็นที่ติฉินนินทา ทว่าหลายวันมานี้สกุลเห้อเหลียนแทบจะจมน้ำลายของชาวบ้านเป็นที่เรียบร้อย
น้องชายของแม่ทัพเห้อเหลียนยังไม่ตาย ทั้งยังแต่งงานกับตี้จีองค์โตอีก
ไม่เพียงเท่านี้ สาวใช้ของพวกเขายังทำร้ายเด็กที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วย
การกระทำโหดเหี้ยมเช่นนี้ มันน่าโมโหยิ่งนัก
ผู้คนต่างพากันก่นด่าและขับไล่ครอบครัวของตี้จีองค์โตออกจากหนานจ้าว
แน่นอนว่าสำนักราชครูก็รู้ข่าวนี้เช่นกัน
หนานกงหลีนั่งอยู่ในห้องของราชครู เมื่อได้ยินคำรายงานของลูกศิษย์ ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ไม่คิดเลยว่าคนแซ่จางนั่นทำงานได้ยอดเยี่ยมกว่าที่คิด”
ยอดเยี่ยมกว่าที่เขาจินตนาการไว้ เดิมทีคิดว่าอย่างน้อยครึ่งเดือนจึงจะจุดไฟโทสะของชาวบ้านได้ ทว่าตอนนี้กลับใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน ผู้คนก็แอบอดรนทนไม่ไหวอยากจะบุกสกุลเห้อเหลียน จับครอบครัวของตี้จีองค์โตโยนออกไปนอกหนานจ้าว
หนานกงหลียิ้มพลางกล่าวว่า “เป็นราชครูที่ปราดเปรื่อง คิดแผนการที่เฉียบแหลมเช่นนี้ได้”
เดิมทีเรื่องที่หัวหน้าจางทำก็เป็นเรื่องที่ลูกศิษย์สำนักราชครูสั่งไว้ สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนกันก็คือ เดิมทีเขาคิดจะลงแรงเพียงครึ่งเดียว บัดนี้กลับทุ่มเทแรงกายแรงใจมากเกินร้อย และผลลัพธ์ก็ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้
ราชครูขมวดคิ้ว
หนานกงหลีสังเกตเห็นสีหน้าของเขา ก็เอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “มีอะไร? ราชครูไม่พอใจหรือ?”
ราชครูส่ายหน้า “ไม่ได้ไม่พอใจ เพียงแต่รู้สึกสงสัย”
“มีอะไรน่าแปลกหรือ?” หนานกงหลีถาม
“ราบรื่นเกินไป” ราชครูขบคิด “คนแซ่จางนั่นดูไม่ยักคล้ายกับคนที่ทำอะไรสุดความสามารถถึงเพียงนั้น”
หนานกงหลีหัวเราะ “ถ้าไม่ราบรื่น ท่านก็จะกล่าวโทษว่าพวกเขาไม่ใส่ใจ เมื่อราบรื่น ท่านกลับบอกว่าพยายามมากเกินไป พยายามแล้วไม่ดีตรงไหนหรือ? คนพวกนั้นทำได้ทุกอย่างเพื่อเงิน ราชครูคงไม่ได้กำลังบอกข้าว่ามีคนลอบราดน้ำมันบนกองเพลิง ทำให้ข่าวลือเสียๆ หายๆ ของสกุลเห้อเหลียนและตี้จีองค์โตแพร่สะพัดออกไป”
นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ผู้ที่มีความแค้นกับสกุลเห้อเหลียนล้วนถูกส่งเข้าค่ายทหารของพวกเขาหมดแล้ว หนานกงหลีมั่นใจว่าคนของเขาไม่ได้เคลื่อนไหว ที่เหลือก็ล้วนเป็นคนที่มิได้มีความแค้นกับสกุลเห้อเหลียน ยิ่งไม่มีทางทำร้ายสกุลเห้อเหลียน
ราชครูพยักหน้า “ข้าอาจคิดมากไป แต่ว่า… ”
“แต่ว่าอะไร? ” หนานกงหลีบอก
ราชครูขมวดคิ้ว “ด้านนอกมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น เหตุใดสกุลเห้อเหลียนไม่ลงมือทำอะไรสักที อย่างน้อยพวกเขาก็ต้องลุกขึ้นมาแถลงไขความจริง”
หนานกงหลีแค่นเสียง ‘หึ’ อย่างเย็นชา “แถลงไขความจริง แล้วชาวบ้านจะเชื่อหรือ? ตั้งแต่ที่ชาวบ้านรู้กันว่าเห้อเหลียนเป่ยอวี้แต่งงานกับตี้จีองค์โต ความศรัทธาที่ชาวบ้านมีต่อสกุลเห้อเหลียนก็หมดไปทันที พวกเขาคงจะคาดเขาได้ถึงจุดนี้ จึงไม่ได้กระเสือกกระสนแก้ต่าง พวกเขากำลังรอให้เรื่องนี้เงียบไปก่อน แต่น่าเสียดายที่ครั้งนี้คงไม่เงียบง่ายๆ”
ราชครูกลับไม่ได้มองโลกในแง่บวกเหมือนหนานกงหลี เขาสู้กับเยี่ยนจิ่วเฉามาตลอด เขารู้ดีกว่าเยี่ยนจิ่วเฉามิได้ต่อกรด้วยได้ง่ายอย่างที่เห็น เขาไม่ใช่คนประเภทที่จะนั่งรอความตาย สกุลเห้อเหลียนอาจรอให้เรื่องร้ายผ่านพ้นไปก่อนก็จริง แต่เยี่ยนจิ่วเฉาจะไม่ทำแบบนั้นแน่
ราชครูกล่าวว่า “คิดจะครอบครองเรือพันปีย่อมต้องรอบคอบ ส่งคนไปสืบการเคลื่อนไหวของสกุลเห้อเหลียนสักหน่อยจะดีกว่า”
ในคืนนั้น หนานกงหลีให้ซิวหลัวพาสายลับคนหนึ่งไปยังจวนสกุลเห้อเหลียน
การป้องกันอันแน่นหนาของจวนสกุลเห้อเหลียนทำอะไรซิวหลัวไม่ได้ ไม่ถึงชั่วพริบตา สายลับก็เข้ามาในจวนได้แล้ว
สายลับหลบอยู่นอกชีสยาย่วน
หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งเค่อ อิ่งสือซันก็เดินเข้ามา
เขาตรงไปยังห้องของชายชรา
“อาม่า”
อาม่านั่งอยู่ที่เก้าอี้ เงยหน้ามามองเขา “ดึกป่านนี้มาหาข้ามีเรื่องอะไร”
อิ่งสือซันตอบว่า “คุณชายให้ข้ามาเอาคางคกหิมะ”
อาม่ากล่าวด้วยความงุนงงว่า “ราชินีสัตว์พิษน่ะหรือ? อยู่ๆ จะเอาไปใช้ทำอะไร ยังไม่ได้รวบรวมตัวยาเลย”
อิ่งสือซันตอบว่า “คุณชายไม่ได้ต้องการตัวยา หลายวันมานี้สกุลเห้อเหลียนเกิดเรื่องใหญ่ ชาวบ้านพากันขับไล่ฮูหยินรองออกไป คุณชายคิดวิธีออก”
“วิธีอะไร” อาม่าเอ่ยถามด้วยสีหน้าเปี่ยมความสงสัย
อิ่งสือซันตอบอย่างไม่รีบร้อน “สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ถูกขโมยไปแล้วใช่ไหม? คุณชายบอกว่ากลิ่นของราชินีสัตว์พิษใกล้เคียงกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ให้อาเว่ยหาวิธีทำให้ราชินีสัตว์พิษยอมรับฮูหยินรองเป็นเจ้านาย และประกาศออกไปว่าฮูหยินรองหาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์กลับมาได้ เช่นนี้ฮูหยินรองก็จะนับว่าสร้างความดีความชอบครั้งใหญ่ และชาวบ้านก็คงไม่ขับไล่ฮูหยินรองออกจากหนานจ้าวอีก”
เมื่อสายลับได้ยิน ก็กลับสำนักราชครูไปแจ้งแก่ราชครูและหนานกงหลีโดยไม่มีตกหล่นแม้แต่คำเดียว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]