หนานจ้าวเกิดเรื่องมากมาย ควรบวงสรวงสวรรค์เพื่อปลอบประโลมราษฎรสักหน่อย
คนหนานจ้าวมีความเชื่อมากกว่าคนจงหยวน สำหรับบางเรื่องก็นับได้ว่างมงาย แต่เมื่อมองอีกมุุมหนึ่ง ที่นี่ก็มีความโดดเด่นในแบบของมัน
หลายวันมานี้อวี๋หวั่นไม่ได้ออกจากบ้าน เธอคอยช่วยอาม่าทดลองวิชาจารึกตัวอักษร การบันทึกเช่นนี้นับว่าเป็นวิชาจารึกอักษรที่เก่าแก่ที่สุด วัสดุสำหรับจารึกหลายประเภททุกวันนี้หาไม่ได้แล้ว จำต้องใช้วัสดุชนิดอื่นมาแทนที่
พวกเขาทดลองกันอยู่หลายครั้ง แต่ก็จบลงด้วยความล้มเหลว ตราบจนเช้าวันนี้ อวี๋หวั่นเผลอทำชาดหยดลงไป จากนั้นเนื้อของน้ำยาก็เปลี่ยนไป
“อาม่า ท่านดู” อวี๋หวั่นส่งให้อาม่าดูน้ำยาที่ข้นขึ้นมาอย่างฉับพลัน
อาม่ายกขึ้นมาดม พร้อมกับพยักหน้า “แปรง”
อวี๋หวั่นหยิบแปรงอันเล็กส่งให้เขา
อาม่าค่อยๆ จุ่มแปรงลงไปในน้ำยา แล้วค่อยๆ ปาดน้ำยาลงบนหน้าปกบันทึก
เรื่องไม่คาดฝันได้เกิดขึ้นแล้ว ตัวอักษรเล็กๆ บนหน้าปกซึ่งเขียนว่า ‘เปลือยหน้ามองสวรรค์[1]’ ก็ปรากฏให้เห็น
เป็นตัวอักษรที่ไม่คุ้นตา อวี๋หวั่นอ่านไม่ออก
แต่ช่วยไม่ได้ น้ำยาของพวกเขาใช้การได้แล้ว
“อาม่าท่านอ่านตัวหนังสือออกไหม?” อวี๋หวั่นถาม
อาม่าพยักหน้า นี่เป็นตัวอักษรโบราณ แต่ก็มิได้ยากเกินความสามารถของนักบวชแห่งเผ่าปีศาจ นั่นเป็นเพราะบันทึกจำนวนไม่น้อยของนักบวชใช้ตัวอักษรประเภทบันทึกตำรา แม้ว่าเขาจะไม่ได้เปิดตำรามานานหลายปี แต่เขาก็ยังพอจดจำได้ การอ่านบันทึกทั้งฉบับมิได้นับว่ายากเย็น
อวี๋หวั่นยกยิ้มมุมปากด้วยความดีใจ “เช่นนั้นต้องรบกวนอาม่าแล้ว”
อาม่ากล่าวด้วยสัตย์จริงว่า “ข้าร้างราไปนาน อ่านทั้งหมดนี้อาจต้องใช้เวลานานสักหน่อย แต่ข้าจะทำให้เร็วที่สุด”
“อื้ม!”
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตของสามีตน อวี๋หวั่นจึงไม่ได้มีท่าทีเกรงใจอาม่าเท่าไรนัก “เช่นนั้นข้าไม่รบกวนท่านแล้ว ท่านค่อยๆ ดู”
ในฐานะที่เป็นนักบวชที่มีความรู้ความสามารถที่สุดของเผ่าปีศาจ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าอาม่าเกลียดการอ่านหนังสือเป็นที่สุด ทว่าตั้งแต่เป็นอาจารย์ในหมู่บ้านเหลียนฮวา ปัญหานี้ก็ค่อยๆ คลี่คลาย เขาไม่รู้สึกวิงเวียนและตาลายขณะอ่านหนังสืออีกต่อไป
อาม่าเริ่มลงมืออ่านบันทึกอย่างตั้งใจ อวี๋หวั่นปิดประตูห้องให้เขาเบาๆ
อวี๋หวั่นกลับไปยังสวนอูถง
เด็กน้อยทั้งสามไปฝึกวรยุทธ์(ปล่อยหนอนพิษ)กับอาเว่ย ไม่อยู่ในเรือน เยี่ยนจิ่วเฉาก็ไม่อยู่ เขากับชิงเหยียนออกไปซื้อถังหูลู่และบัวลอยให้เด็กๆ
เมื่อมีชิงเหยียนไปด้วย อวี๋หวั่นก็วางใจ เธอตัดสินใจไปโผล่ให้ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นหน้าสักหน่อย ทันทีที่เดินเข้าไป ก็พบกับอวี๋เซ่าชิงซึ่งเพิ่งเดินออกมานอกห้อง
ด้านหลังของอวี๋เซ่าชิงมีนางเจียงซึ่งเดินคอตก ทำหน้าเศร้าสร้อยตามมา
อวี๋หวั่นรู้สึกว่าช่วงนี้ท่านพ่อของเธอมีท่าทีแปลกประหลาด ไปที่ไหนก็ต้องพาท่านแม่ไปด้วย อายุเท่านี้แล้วยังตามติดกันอยู่อย่างนี้จะดีหรือ? ลูกสาวอย่างเธอแทบจะไม่กล้ามองแล้ว!
ถูกตามประกบเช่นนี้ ก็หมดหนทางหนีไปเล่นการพนันแล้วน่ะสิ
อาซูปวดใจเหลือเกิน
อาซูไม่ได้พูดออกไป
อวี๋หวั่นรู้สึกตื่นเต้นกับฉากในนิยายรักจนเธอตัดสินใจไปหาเยี่ยนจิ่วเฉา
เพิ่งจะเดินพ้นประตูจวนตะวันตก เยี่ยนจิ่วเฉาก็กลับมาแล้ว ในมือของเขานั้นว่างเปล่า เป็นชิงเหยียนที่ถือถังหูลู่
และบัวลอย เขาถือจนปวดมือไปหมด
ชิงเหยียนรีบถือของเดินเข้าไปในจวน อวี๋หวั่นจะเข้าไปช่วย แต่กลับถูกเยี่ยนจิ่วเฉารั้งเอาไว้
“จะพาเจ้าไปที่ที่หนึ่ง” เยี่ยนจิ่วเฉาบอก
อวี๋หวั่นถามด้วยความประหลาดใจว่า “ไปไหน”
เยี่ยนจิ่วเฉาตอบอย่างมีลับลมคมใน “ประเดี๋ยวไปถึงก็รู้”
“ไม่พาพวกต้าเป่าไปด้วยหรือ?” อวี๋หวั่นถาม
“พาพวกเขาไปทำไม?” เยี่ยนจิ่วเฉาถามกลับ
ที่แท้ก็อยากไปออกเดทกับเธอสองต่อสอง อวี๋หวั่นหน้าแดงขึ้นมาทันใด แต่งงานกันมานานขนาดนี้ เวลาอยู่ด้วยกันลำพังนั้นมีน้อยนิด เมื่อเขามีใจอยากทำอย่างนี้ เธอก็ไม่อาจปฏิเสธได้
อวี๋หวั่นเดินตามสามีขึ้นรถม้าไปด้วยจิตใจเบิกบาน
โลกที่มีเพียงเราสอง สามีของเธอติดเธอจริงๆ เลยนะ!
จากนั้นไม่นาน อวี๋หวั่นก็ตระหนักได้ว่าเธอคิดมากเอง…
ในทุกๆ ปี หนานจ้าวจะมีพิธีบวงสรวงสวรรค์หลายครั้ง แต่ทุกครั้งจะจัดโดยสำนักราชครูหรือวิหารพิษ น้อยครั้งนักที่องค์ประมุขจะปรากฏตัวในพิธี ครั้งก่อนเมื่อสองปีที่แล้วหลังจากสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ยอมรับตี้จีเป็นเจ้านาย องค์ประมุขทรงเปรมปรีดิ์และมาเข้าร่วมพิธีบวงสรวงสวรรค์
ในพิธี ตี้จีเป็นที่ดึงดูดสายตาผู้คน หลังจากนั้นไม่นานนางก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประมุขหญิงรัชทายาท
ตี้จีองค์เล็กได้รับคำแซ่ซ้องสรรเสริญจากราษฎร ผู้คนรักและศรัทธาในตัวนางมากยิ่งกว่าองค์ประมุขเสียอีก จนกลายเป็นปรากฏการณ์ ‘ตี้จีผู้เป็นที่รักของพสกนิกรหนานจ้าว’
ทว่าหลังจากสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ถูกขโมยไปและตัวตนของราชบุตรเขยถูกเปิดเผย ชื่อเสียงของนางก็ดิ่งลงเหวลึกสักสิบจั้งเห็นจะได้
อย่างไรก็ดี เมื่อได้ยินว่านางได้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์กลับมาอยู่ในครอบครองและนำความสุขมาสู่ปวงประชาชาวหนานจ้าวอีกครั้ง ผู้คนต่างก็ทยอยกันมา
แท่นบูชาอยู่ห่างจากวังหลวงไปทางทิศใต้สามสิบหลี่ พื้นที่กว้างขวาง ฮวงจุ้ยดี ฟ้ายังไม่สางผู้คนก็มารอที่นี่แล้ว เมื่อเกี้ยวของหนานกงเยี่ยนและองค์ประมุขมาถึง แท่นบูชาก็ถูกห้อมล้อมจนแน่นขนัด
เหล่าราชองครักษ์ใช้พลังไปมากโขกว่าจะเปิดทางให้ทั้งสอง
หนานกงหลีและองค์หญิงน้อยก็ตามมาเช่นกัน เพียงแต่พวกเขามิได้อยู่บนเกี้ยว หากแต่เดินอยู่ด้านหลังองค์ประมุขและหนานกงเยี่ยนพร้อมกับขุนนางฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊
เดือนสิบเอ็ดในหนานจ้าวอากาศเย็นสบาย ทว่าเสื้อผ้านั้นค่อนข้างหนา มิหน้ำซ้ำยังต้องเดินมาอีก ขุนนางทั้งหลายต่างร้อนจนเสื้อเปียกชุ่ม ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงฝูงชนซึ่งเบียดเสียดกันอยู่นาน พวกเขาตัวเปียกชุ่มราวกับฝนห่าใหญ่เพิ่งตกลงมาไปตั้งแต่แรกแล้ว
ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็ไม่ได้มีท่าทีจะยอมแพ้และกลับบ้านไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]