ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ผู้คนต่างตะลึงงัน ถ้าหากมองไม่ผิด เจ้าตัวเล็กที่เผ่นหนีไปเมื่อครู่ก็คือสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ยอมรับตี้จีองค์เล็กเป็นเจ้านาย?
ทำไมถึงใช้คำว่า ‘เผ่น’ น่ะหรือ ก็เพราะเจ้านั่นหล่นตุ้บลงมา แล้วก็ตาลีตาเหลือกหนีไปทันที ทั้งยังมีเสียงคล้ายกับวิ่งชนขาโต๊ะเข้าอย่างจัง ซึ่งแท้จริงแล้วก็เป็นเพราะมันร้อนรนจนหาทางไปไม่ถูก!
ไม่มีชาวบ้านคนใดเคยเห็นราชันสัตว์พิษที่มีท่าทางกระวนกระวายเช่นนี้มาก่อน…
เดี๋ยวนะ นั่นไม่ใช่ราชันสัตว์พิษธรรมดาสักหน่อย นั่นคือสัตว์ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนานจ้าว
เกิดเรื่องน่าสะพรึงกลัวอันใดขึ้นกัน? ไฉนสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จึงตกใจกลัวเช่นนี้?
โดยทั่วไปแล้ว หลังจากที่หนอนพิษยอมรับเจ้านายแล้ว จะไม่หนีไปจากเจ้านายง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนอนพิษที่แข็งแกร่ง ทว่าระดับราชันหมื่นสัตว์พิษ หากไม่ใช่เพราะเจ้านายตาย หรือปรมาจารย์พิษเทพซึ่งปรากฏเพียงในตำนานเป็นผู้ลงมือ มันก็จะไม่ทิ้งเจ้านายไปไหนเป็นอันขาด
ทว่าในตอนนี้ สองเหตุการณ์นี้แลดูจะขัดแย้งกัน
ตี้จีแทบล้มทั้งยืน สีหน้าของนางตะลึงงันยิ่งกว่าเดิม
หากกล่าวถึงปรมาจารย์พิษ ปรมาจารย์พิษที่มีวิชาสูงส่งที่สุด ณ ที่นี้คือเหล่าปรมาจารย์พิษอาวุโสจากวิหารพิษกระมัง? ในบรรดาพวกเขา ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็เป็นเพียงปรมาจารย์พิษอาวุโสหกจั้งเท่านั้น
อันที่จริง นี่คือหนอนพิษที่เล็กจนไม่รู้จะบรรยายว่าเล็กเท่าใด ผู้คนมองไม่เห็นสีหน้าของมัน ทว่าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ทุกคนต่างสัมผัสได้ถึงความรังเกียจและสะอิดสะเอียนที่ไม่อาจปิดบังได้จากเงาที่หยุดชะงักของมัน!
ตี้จีองค์เล็ก “…”
ทุกคน “…”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ‘สัตว์ศักดิ์สิทธิ์’ ละทิ้งตี้จีองค์เล็กต่อหน้าผู้คน
ไม่มีผู้ใดบังคับมัน แต่มันกลับทิ้งเจ้านายของตนออกไป ท่าทางที่มันทิ้งเจ้านายไป แลดูราวกับผู้ชายเฮงซวยทิ้งคนรักของตน
หลังจากที่ตื่นตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง ชาวบ้านต่างก็เริ่มกระซิบกระซาบกัน
“สัตว์ศักดิ์สิทธิ์หนีไปแล้วหรือ?”
“นั่นสิ มันไม่สนใจเจ้านายตัวเองด้วยซ้ำ”
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ มันกลัวอะไรหรือ?”
“หลังจากที่ตี้จีไหว้เทพพิษแล้วก็เกิดเรื่องนี้ขึ้น ข้าว่าต้องเป็นบัญชาแห่งเทพอย่างแน่นอน”
ถ้าหากกล่าวว่าเป็นผู้ที่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์เลือก ก็หมายความว่าได้รับการคุ้มครองจากเทพพิษ และถ้าหากสัตว์ศักดิ์สิทธิ์หนีไป ก็หมายความว่าตี้จีไม่เป็นที่พึงพอใจของทวยเทพ
มิเช่นนั้น เหตุใดสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ไม่หนีไปตั้งแต่ตั้งแต่แรก แต่กลับหนีไปหลังจากที่นางกราบไหว้เทพพิษ?
นี่ยังไม่เพียงพอที่จะอธิบายอีกหรือ?
ไม่นาน ผู้คนก็นึกอีกเรื่องหนึ่งขึ้นได้
สัตว์ศักดิ์สิทธิ์เคยถูกขโมยไปครั้งหนึ่ง พวกเขาช่างไร้เดียงสา คิดว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์นั้นถูกปรมาจารย์พิษเทพในตำนานบีบบังคับให้ออกมา ทว่าดูจากเหตุการณ์ในวันนี้แล้ว เห็นทีว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์คงจะหนีจากตี้จีด้วยตนเอง!
อย่างไรเสียพวกเขาล้วนเห็นกับตา จะเป็นเรื่องหลอกลวงไปได้อย่างไร?
“สัตว์ศักดิ์สิทธิ์หนีจากนางไปตั้งแต่แรกแล้ว นางไม่คู่ควรกับการเป็นเจ้านายของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ คนเขาหนีไปครั้งหนึ่งแล้ว นางก็ยังจับมาอีก วันนี้ก็เลยหนีอีกแล้ว!”
ไม่รู้ว่าผู้ใดโพล่งขึ้นมา เสียงนั้นดังพอสมควร ชาวบ้านและคนบนแท่นบูชาล้วนได้ยิน
ทุกคนมองไปยังหนานกงเยี่ยนซึ่งมีสีหน้าเปลี่ยนไป
ในตอนนี้ต่อให้หนานกงเยี่ยนมีหนึ่งร้อยปากก็แก้ต่างไม่ไหว!
นางอยากบอกว่า สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ทอดทิ้งนางไปสักหน่อย! สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ถูกคนขโมยไป ตอนนั้นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ยังไม่ได้ยอมรับนางเป็นเจ้านาย จึงเก็บเอาไว้ในห้องเก็บของ ขอแค่เป็นยอดฝีมือก็ขโมยไปได้แล้ว
แต่นางพูดออกไปไม่ได้
หากพูดไป ก็มิใช่เรื่องดีต่อตนเองอยู่ดี
แต่หากไม่พูด การคาดเดาของผู้คนนั้นแย่ยิ่งกว่าเสียอีก
เข้าไปก็ตาย ถอยหลังออกมาก็ตาย หนานกงเยี่ยนถูกบังคับให้ต้องอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
แน่นอนว่าหนานกงเยี่ยนสามารถพูดออกไปได้ว่าสิ่งที่หนีนางไปวันนี้หาใช่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ไม่ หากแต่เป็นราชินีสัตว์พิษ นางไม่เคยถูกสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทิ้งมาก่อน ก็เพราะนางไม่เคยเป็นเจ้านายของมันมาก่อนอย่างไรเล่า แต่หากบอกไป นั่นมิได้หมายความว่าโทษของนางก็จะเพิ่มขึ้นอีกสถานหรอกหรือ?
โกหกองค์ประมุข หลอกลวงราษฎร
แต่นั่นก็มิได้ทำให้นางถูกก่นด่าน้อยไปกว่าการ ‘ถูกสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทอดทิ้ง’ เลยสักนิด
หนานกงเยี่ยนสัมผัสได้ถึงความรู้สึกไร้พลังที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน
หากบอกความจริงก็เท่ากับยอมรับว่าเคยทำผิด ไม่ยอมรับความผิดก็เท่ากับแบกรับเรื่องโกหก
นางมองไปยังราชครูอย่างทำอะไรไม่ถูก และหวังว่าราชครูจะยื่นมือมาช่วยเหลือนางในยามคับขันเช่นนี้
แม้ว่าราชครูคิดจะทำเช่นนั้น แต่เขาก็อยู่ในภาวะลำบากยิ่งกว่านางเสียอีก
ชาวบ้านอยู่ห่างออกไปไกล มองเห็นไม่ชัด เขาและองค์ประมุข รวมไปถึงปรมาจารย์พิษอาวุโสจ้องเจ้าตัวเล็กเขม็ง มองตามมันวิ่งหนีผ่านพวกเขาไป ทั้งตัวของมันสีขาวปลอดราวกับหิมะ หากไม่ใช่คางคกหิมะแล้วจะเป็นตัวอะไร?
สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ก็มีสีขาว แต่ไม่ได้ขาวและไม่ได้งดงามเพียงนี้ เมื่อได้พบเห็นครั้งหนึ่งก็ทำให้รู้สึกตราตรึงอยู่ในใจ
องค์ประมุขขมวดคิ้ว ไม่มั่นใจว่าตนตาฝาดไปหรือไม่ “เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น”
ครานั้นที่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ถูกนำมาถวาย องค์ประมุขก็ได้มีโอกาสลอบมองขวดมรกต สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่แบบนี้นี่
ราชครูไม่กล้ากล่าวอะไร สีหน้าของเขายังคงดูตื่นตะลึง คล้ายกับถูกภาพเหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ตกใจ มีเขาเพียงผู้เดียวที่กระจ่างในเรื่องนี้ เขากำลังใคร่ครวญอยู่ว่าจะสรรสร้างคำโกหกว่าอย่างไร
น่าเสียดายที่ในครั้งนี้ไม่ใช่การตัดสินในของเขาเพียงคนเดียว
มีปรมาจารย์พิษอาวุโสมาจากวิหารพิษทั้งหมดห้าคน ปรมาจารย์พิษอาวุโสซุนเป็นผู้ที่อาวุโสที่สุดในบรรดาพวกเขา เขาเป็นศิษย์หลานของปรมาจารย์พิษอาวุโสข่ง ได้เป็นหัวหน้าปรมาจารย์พิษขั้นสูงแห่งหนานจ้าวตั้งแต่ยังเยาว์วัย สิ่งเดียวที่เขาไม่อาจเทียบกับปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งได้ก็คือวิชาของเขานั้นหยุดอยู่ที่ระดับหกจั้ง ทว่าเมื่อเปรียบเทียบความสามารถโดยภาพรวมแล้ว ปรมาจารย์พิษซุนเก่งกาจกว่ามาก
เขาบอกกับองค์ประมุขว่า “ดูเหมือนจะเป็นคางคกหิมะพ่ะย่ะค่ะ”
เขาเองก็รู้สึกหวั่นใจว่าตนอาจมองผิดไป
อย่างไรเสียตี้จีก็บอกเองว่าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ หากเขาไม่ได้มองผิด เช่นนั้นนางก็กำลังปกปิดความผิด และนี่ก็เป็นเรื่องใหญ่ เขาหันไปมองราชครูและเพื่อนร่วมอาชีพ “พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร? เมื่อครู่เห็นชัดหรือไม่?”
พวกเขาจับจ้องสิ่งที่เกิดขึ้นกับตี้จีอยู่ตลอด ไหนเลยจะเห็นไม่ชัด? นอกจากปรมาจารย์พิษอาวุโสซ่งที่กระวีกระวาดไปดูไข่มุกพิษที่แตก จนทำให้พลาดเหตุการณ์ในตอนนั้น คนอื่นๆ ล้วนแต่เห็นทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ พวกเขาจับจ้องตาไม่กะพริบด้วยซ้ำไป
ปรมาจารย์พิษอาวุโสเหลียงกล่าวเสียงเบาว่า “ข้าก็คิดว่าเหมือนจะเป็นคางคกหิมะ”
ปรมาจารย์พิษอาวุโสโจวและปรมาจารย์พิษอาวุโสจูเก๋อก็พยักหน้ารัวๆ
พวกเขาล้วนแต่เคยเห็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เคยเห็นภาพวาดและรูปสลักของราชินีสัตว์พิษ คนทั่วไปอาจมองพลาดไปได้ แต่พวกเขาไม่มีทางมองพลาด
“น่าแปลก เป็นคางคกหิมะไปได้อย่างไร? ไม่ได้บอกหรือว่า…เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์?” ปรมาจารย์พิษอาวุโสซ่งพึมพำ เขาเป็นเพียงคนเดียวที่เมื่อครู่ไม่ได้เห็นราชินีสัตว์พิษ แต่เมื่อทุกคนพูดเช่นนั้น ย่อมไม่มีทางผิดพลาด
หนานกงเยี่ยนร้อนรนเหลือเกิน ราชครู ท่านพูดอะไรสักหน่อยสิ!
ราชครูหลับตาลง เขาก็อยากพูดอยู่หรอก แต่เมื่อมีสายตาหลายคู่มองอยูู่ ต่อให้เขาเอ่ยปากโต้แย้งไปก็ไม่สามารถโน้มน้าวผู้ใดได้ ยิ่งไปกว่านั้นก็จะเป็นการเปิดโปงความสัมพันธ์ของเขากับตี้จีด้วย
ผู้ที่เอ่ยปากกลับเป็นเห้อเหลียนเป่ยหมิงผู้ซึ่งอยู่ด้านล่างแท่นบูชา เขาอยู่ใกล้กว่าชาวบ้านมาก แม้ว่าจะมองเจ้าตัวเล็กที่อยู่บนแท่นบูชาไม่ชัดเจน แต่ก็ได้ยินสิ่งที่กลุ่มคนบนแท่นบูชาพูดได้อย่างชัดเจน
เขานั่งอยู่บนรถเข็น เสียงดังกังวาน ฟังดูราวกับกำลังดูละครสนุกๆ เรื่องหนึ่งอยู่ “ตี้จีได้โปรดอธิบายว่าเหตุใดสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของท่านจึงกลายเป็นคางคกหิมะไปได้? ตี้จีเป็นเจ้านายของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ อย่าบอกกระหม่อมนะว่าตี้จีมองผิดไป”
แน่นอนว่าหนานกงเยี่ยนย่อมไม่อาจพูดได้ว่าตนมองผิดไป
จะมีใครมองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของตนผิดได้เล่า? แต่ถ้าหากไม่ได้มองผิด เรื่องทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน? จะให้ยอมรับว่าตนหลอกลวงองค์ประมุขอีกครั้งหนึ่งหรือ?
หนานกงเยี่ยนกระวนกระวายจนเหงื่อกาฬผุดขึ้นบนหน้าผาก
เสียงของเห้อเหลียนเป่ยหมิงมิใช่เบาๆ ชาวบ้านซึ่งยืนอยู่แถวหน้าล้วนได้ยิน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]