เมื่อเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้น องค์ประมุขจึงรู้สึกสับสนวุ่นวายภายในใจ
รถม้าเคลื่อนมาถึงประตูวังหลวง ทันใดนั้นเขาก็บอกสารถีให้หยุดรถม้า
สารถีถามว่า “ฝ่าบาท ไม่กลับวังแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ถึงปากประตูแล้ว
เรื่องที่เกิดขึ้นบนแท่นบูชานั้นเป็นเรื่องใหญ่ เกรงว่าในวังหลวงคงได้ข่าวนี้แล้ว หากหลับไปตอนนี้ สิ่งที่รอตนอยู่ก็คืออวิ๋นเฟยมาโวยวาย หรือไม่ก็ฮองเฮามาร่ำไห้ แม้ว่าเขาจะเป็นองค์ประมุข แต่เขาก็เป็นเพียงบุรุษธรรมดา เมื่อต้องเผชิญกับเรื่องแบบนี้ ก็คิดจะหลีกหนีบ้างบางครั้ง
เขากดจุดไท่หยางซึ่งเต้นตุบๆ “ไปวิหารพิษ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
สารถีเปลี่ยนทิศ นำรถม้าเคลื่อนออกจากวังหลวง เดินทางไปอีกประมาณไม่กี่สิบหลี่ก็ถึงวิหารพิษ
วิหารพิษเกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ สิ่งปลูกสร้างหายไปหลายหลัง หนึ่งในนั้นก็คือเรือนของปรมาจารย์พิษอาวุโสข่ง
ปรมาจารย์พิษอาวุโสข่งอายุมากแล้ว หากจะย้ายไปอยู่เรือนไกลๆ คงจะไม่คุ้นเคย จึงย้ายไปอยู่ในสวนสมุนไพรซึ่งอยู่ในรั้วเดียวกัน
ในสวนสมุนไพรปลูกพืชสมุนไพร ส่วนมากเป็นพืชที่เก็บมาจากบนเขา ใช้สำหรับเลี้ยงและฝึกสัตว์พิษ ด้านหลังของสวนมีกระท่อมเล็กๆ หลังหนึ่ง ปัจจุบันปรมาจารย์พิษอาวุโสข่งอาศัยอยู่ที่นั่น
กระท่อมหลังนี้เก่าคร่ำคร่า แต่เก็บกวาดได้สะอาดเรียบร้อยเหลือเกิน
ปรมาจารย์พิษอาวุโสข่งอยู่ในบ้านครู่หนึ่ง เขาหยิบบัวรดน้ำ แล้วเดินออกไปรดน้ำพืชสมุนไพรในสวน
เขาเดินกะโผลกกะเผลก ท่าทางย่างเยื้องเชื่องช้า เมื่อองค์ประมุขไปถึงสวนสมุนไพร เขาก็เพิ่งจะรดน้ำไปได้เพียงแปลงเดียว
เมื่อองค์ประมุขเห็นว่าเขาดูลำบากลำบนกว่าจะรดน้ำได้ ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “ไฉนต้องลำบากเพียง นี้? ไม่ให้คนอื่นมาทำเล่า? งานเล็กน้อยเช่นนี้ท่านต้องถึงกับทำด้วยตนเองเชียวหรือ?”
ปรมาจารย์พิษอาวุโสข่งหันร่างชราของเขามา มองไปยังองค์ประมุขด้วยรอยยิ้ม กล่าวว่า “ฝ่าบาทมาแล้วหรือ?”
องค์ประมุขก้าวไปด้านหน้า หมายจะเข้าไปช่วยเขาถือบัวรดน้ำ เขากลับชี้ไปยังถังน้ำด้านข้าง “ตรงนั้นยังมีอีกพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ประมุขผู้ซึ่งไม่ได้คิดจะช่วยรดน้ำต้นไม้จริงๆ “…”
องค์ประมุขหลับตาลง หายใจเข้าลึกๆ เดินไปหยิบถังน้ำขึ้นมา เดินไปตักน้ำในบ่อแล้วนำมารดในแปลงพืชสมุนไพร
องค์ประมุขมือไม้คล่องแคล่วว่องไว แต่เพื่อที่จะรักษาความเร็วให้ใกล้เคียงกับปรมาจารย์พิษอาวุโสข่ง เขาจึงมิได้เร่งรีบนัก
ปรมาจารย์พิษอาวุโสข่งรดน้ำพืชสมุนไพรพลางถามว่า “วันนี้ไม่ได้มีพิธีบวงสรวงสวรรค์หรอกหรือ? เหตุใดฝ่าบาทจึงกลับมาเร็วนัก? เกิดอะไรขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
องค์ประมุขพลันรู้สึกพูดไม่ออก
มีวัชพืชเติบโตอยู่รอบๆ พืชสมุนไพรต้นหนึ่ง ปรมาจารย์พิษอาวุโสข่งวางบัวรดน้ำลง แล้วใช้มือผอมและเหี่ยว
ของเขาถอนวัชพืชออก
เมื่อถอนวัชพืชออกมาแล้ว เขาก็ไม่ได้โยนทิ้งไป แต่ค่อยๆ ใส่มันลงในกระเป๋าผ้าที่เอว
“เหตุใดทำเช่นนั้น?” องค์ประมุขถามด้วยความสงสัย
ปรมาจารย์พิษอาวุโสข่งยิ้มพร้อมกับตอบว่า “วัชพืชนั้นแข็งแกร่ง โยนทิ้งไปก็ยังเติบโตได้” เขาหยุดไปชัวขณะหนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นในทันใด “เด็กคนนั้นก็เป็นเช่นนั้นกระมัง”
องค์ประมุขชะงักไป
ปรมาจารย์พิษอาวุโสข่งพูดต่อ “เกิดมาก็ถูกคนที่บ้านถอนทิ้ง โยนไปไกลๆ กระนั้นก็ยังเติบโตมาเป็นอย่างดี”
องค์ประมุขเข้าใจแล้วว่าเขาพูดถึงใคร ไม่รู้ว่าควรจะตอบว่าอย่างไรไปชั่วขณะหนึ่ง ทันใดนั้นก็ได้ยินปรมาจารย์
พิษอาวุโสข่งตบกระเป๋าเบาๆ แล้วบอกว่า “ต้องเผาทิ้ง”
เผาทิ้ง…เด็กคนนั้นน่ะหรือ?
องค์ประมุขตัวสั่นเทิ้ม!
ปรมาจารย์พิษอาวุโสข่งยิ้มพลางเหลือบมองเขา แล้วชี้ไปยังวัชพืชในกระเป๋า “ข้าหมายถึงนี่”
องค์ประมุขตกใจกลัวเสียจนเม็ดเหงื่อเย็นผุดขึ้นบนหน้าผาก
ในตอนนั้นต่อให้จะไม่ต้องการเด็กคนนั้นอีกต่อไป นางก็ยังนับว่าเป็นประชาชนของหนานจ้าว เขามิได้คิดจะปลิดชีวิตนาง
“แต่ก็เป็นหลักการเดียวกัน” ปรมาจารย์พิษอาวุโสข่งกล่าว “รู้ทั้งรู้ว่าเติบโตได้ทุกที่ เพียงแต่ย้ายจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ในใจคงหวังให้นางกลับมาเหมือนกันกระมัง”
ไม่ว่าจะมาพร้อมกับความพยาบาท หรือมาพร้อมกับความปรารถนาที่จะได้พบหน้ากันอีกครั้งก็ตาม
องค์ประมุขมิได้โต้ตอบ เพียงแต่เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “สุขภาพท่านเป็นอย่างไรบ้าง? ตอนที่ไฟไหม้ได้ยินว่าท่านออกไปหาบน้ำข้างนอก ต้องขอบคุณในความขยันของท่าน ท่านจึงไม่ได้อยู่บ้านในตอนนั้น”
ปรมาจารย์พิษอาวุโสข่งถอนหายใจ “เวลาตัดสินโชคชะตา โชคชะตาตัดสินชีวิต”
พูดจบ เขาก็ยกบัวรดน้ำขึ้นมารดน้ำพืชสมุนไพรต่อ
องค์ประมุขเงียบไปชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง “เดิมทีข้าก็เชื่อโชคชะตา แต่ตอนนี้…”
“ตอนนี้ไม่เชื่อแล้ว?” ปรมาจารย์พิษอาวุโสข่งต่อประโยคแทนเขา
องค์ประมุขกำลังว้าวุ่นใจ ถ้าหาก ‘เวลาตัดสินโชคชะตา โชคชะตาตัดสินชีวิต’ เป็นความจริง เช่นนั้นเรื่องของตี้จีทั้งสองนั้นจะอธิบายอย่างไร? ชีวิตจริงของพวกนางต่างจากคำทำนายโชคชะตา ทั้งหมดนี้จะอธิบายอย่างไร ใครเอาชนะใคร หรือว่าชะตากรรมของหนานจ้าวหมดสิ้นหนทางเยียวยาแล้ว?
“หาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์พบแล้ว”
เดิมทีองค์ประมุขอยากเล่าเรื่องที่แท่นบูชาให้ฟัง แต่ประโยคนั้นกลับมาหยุดอยู่ที่ริมฝีปาก ไม่ว่าอย่างไรก็พูดไม่ออก เขาไม่คิดเลยว่าธิดาที่เขารักและเอ็นดูมาตลอดจะทำเรื่องน่าผิดหวังเช่นนี้ได้
น่าเสียดายที่เป็นถึงตี้จี
ปรมาจารย์พิษอาวุโสข่งอยู่มาจนถึงอายุปูนนี้แล้ว ยังจะมีผู้ใดปิดบังความคิดกับเขาได้อีก แต่องค์ประมุขไม่ยินดีจะบอก เขาก็ไม่คิดจะซักไซ้ เพียงแต่ถามกลับว่า “ผู้ใดหาพบ?”
องค์ประมุขตอบว่า “ลูกสาวของนาง”
เขาจำได้ว่าเห้อเหลียนเป่ยหมิงเรียกนางว่าอาหวั่น เขาก็อยากเรียกนางแบบนั้น แต่ก็มิอาจพูดออกมาได้
ปรมาจารย์พิษอาวุโสข่งฟังออกว่า ‘นาง’ คือใคร เขาพยักหน้า กล่าวว่า “เดิมทีก็ได้มาเพราะนาง บัดนี้ก็ไปอยู่ในมือของลูกสาวนาง นับว่าของได้กลับคืนสู่เจ้าของเดิมแล้ว”
“อย่างนี้นับว่ากลับคืนสู่เจ้าของเดิมได้อย่างไรกัน?” องค์ประมุขคิดว่าคำจำกัดความเช่นนี้ออกจะผิดเพี้ยนไปสักหน่อย
ปรมาจารย์พิษอาวุโสข่งยิ้ม ไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงกับเขาอีก
ปรมาจารย์พิษอาวุโสข่งเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ไม่ค่อยโอนอ่อนตามเขา ยามที่สนทนากับปรมาจารย์พิษ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]