ตกกลางคืนอากาศเย็น
เยี่ยนอ๋องนั่งอยู่ข้างหน้าต่างเงียบๆ พลางมองออกไปนอกเรือน
อิ่งลิ่วตัดแต่งต้นไม้ลานบ้านจนนับว่างดงาม ทว่าอย่างเยี่ยนอ๋องผู้สูงศักดิ์ มีหรือจะไม่เคยเห็นดอกไม้ต้นไม้ที่งดงามเช่นนี้
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้เข้าไปรบกวนเขาในทันที ทำเพียงยืนอยู่ด้านหลังบิดา มองไปยังแผ่นหลังของเขาเงียบๆ
ไม่พบกันหลายวัน เขาแลดูซูบผอมกว่าเดิม เขานั่งอยู่คนเดียว แม้แต่อาภรณ์ของเขาก็ยังแฝงไปด้วยเงาของความโดดเดี่ยว
ไม่รู้ว่าเยี่ยนจิ่วเฉายืนอยู่ตรงนั้นนานเท่าไร ในที่สุดเขาก็เอ่ยขึ้นเบาๆ “ท่านพ่อ”
เยี่ยนอ๋องหลุดจากภวังค์ เขาหันมาช้าๆ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า “เจ้ามาแล้ว”
การที่เยี่ยนจิ่วเฉาหาที่นี่พบนั้นไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายของเขาแม้แต่น้อย
ไม่ว่าอิงสือซันหรืออิ่งลิ่วบอกเขา หรือว่าเซียวเจิ้นถิงนำความไปแจ้งแก่จวนสกุลเห้อเหลียนก็ตาม
ขอเพียงเขาต้องการตามหา เขาก็จะหาพบ
เยี่ยนจิ่วเฉานำกล่องที่ถืออยู่ในมือวางลงบนโต๊ะตรงหน้าเขา “หนานจ้าวไม่มีขนมแป้งนึ่งของทางเหนือ นี่เป็นขนมแป้งนึ่งที่พ่อครัวซึ่งเคยไปต้าโจวทำ ไส้ถั่ว แป้งกุ้นฮวา โรยด้วยงาขาว”
จิตใจปวดร้าวก็มักจะอยากกินของหวานสักหน่อย เยี่ยนอ๋องกินไม่ลง แต่ลูกชายซื้อมาแล้ว เขาจึงพยายามกินจนหมด
เมื่อคิดเรื่องหนึ่งได้ เขาก็วางตะเกียบลง “ข้าจำได้ว่าตอนเด็กๆ เจ้าชอบกินขนมแป้งนึ่ง ไม่รู้ว่าหลายปีมานี้…”
ยังไม่ทันพูดจบ เขาก็หยุดชะงัก
อิ่งลิ่วบอกเขาแล้ว ฉงเอ๋อร์ถูกยาพิษ กินอะไรไม่รับรู้รสมาหลายปีแล้ว
ตอนนี้เขาสามารถรับรสเปรี้ยวและรสหวานได้ แต่ก็ไม่ใช่รสชาติที่คนทั่วไปรับรู้
ความรู้สึกผิดถาโถมขึ้นในใจของเยี่ยนอ๋อง “ฉงเอ๋อร์ เจ้าคงจะโกรธพ่อ”
“โกรธท่านเรื่องอะไร” เยี่ยนจิ่วเฉาถามกลับ
เยี่ยนอ๋องอ้าปากค้าง ไม่รู้ว่าควรตอบว่าอย่างไร
เขาไม่พูด ไม่ได้หมายความว่าเยี่ยนจิ่วเฉาจะเดาไม่ออก
เยี่ยนจิ่วเฉารินชาให้เขาถ้วยหนึ่ง “ท่านอย่าคิดมาก เรื่องมันผ่านไปแล้ว”
เยี่ยนจิ่วเฉาหยุดไปชั่วประเดี๋ยวหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ท่านไม่ต้องเสียใจด้วย”
ท่านยังมีข้าอยู่
สองพ่อลูกพูดน้อย นั่งอยู่ด้วยกันนาน แต่สนทนากันไม่มาก เยี่ยนจิ่วเฉาให้เยี่ยนอ๋องพักผ่อน ส่วนตนเองก็เดินไปยังห้องของอิ่งลิ่วและอิ่งสือซัน
ทั้งสองคาดเดาได้ว่าเขาจะมา จึงรออยู่ในห้องนานแล้ว
“คุณชาย” พวกเขาประสานมือคำนับ
เยี่ยนจิ่วเฉาเดินเข้าไปในห้องด้วยสีหน้าเรียบเฉย
อิ่งลิ่วเกาศีรษะ แล้วกระซิบถามว่า “ท่านอ๋องไม่เป็นไรใช่ไหมขอรับ?”
ทั้งสองไม่ได้รับข่าว จึงไม่รู้ว่าเซียวเจิ้นถิงและซั่งกวนเยี่ยนเข้ามาในเมืองหลวง ทั้งยังมาพักที่นี่
ทันทีที่เยี่ยนอ๋องพบกับซั่งกวนเยี่ยน หัวใจของอิ่งลิ่วแทบจะหล่นลงไปถึงตาตุ่ม!
เขาไม่อาจจินตนาการได้ว่าเมื่อสามีภรรยาที่จากกันไปนับสิบปีกลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง จะเป็นอย่างไร ซั่งกวนเยี่ยนร่ำไห้เช่นนั้น เห็นได้ชัดว่านางทรมานมากเท่าใด ท่านอ๋องไม่ได้ร้องไห้ แต่ใช่ว่าเขาจะไม่ได้เสียใจ
อิ่งลิ่วมองไปยังร่างที่ซูบผอมของท่านอ๋อง และคิดว่าหัวใจของเขาคงแหลกสลายไปแล้ว
เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพราะคนวิปลาสอย่างหนานกงเยี่ยน อิ่งลิ่วเกลียดนางเหลือเกิน!
อิ่งสือซันไม่ได้ตื่นเต้นเหมือนอิ่งลิ่ว แม้ว่าเขาจะสงสารท่านอ๋อง และรู้สึกเสียดายแทนคุณชาย แต่หัวใจของเขาก็ยังคงไร้ความรู้สึก
สีหน้าของเยี่ยนจิ่วเฉาก็ยังคงไร้ความรู้สึกยินดียินร้ายดังเคย เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “หลายวันมานี้คงได้อะไรมาบ้างสินะ?”
อิ่งสือซันตอบว่า “สกุลเห้อเหลียนตอนนี้ไม่มี แต่ท่านอ๋องกับหนานกงเยี่ยนมีความคืบหน้าอยู่บ้างขอรับ”
เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ย “ว่ามา”
อิ่งสือซันขยายประสาทสัมผัสไปถึงขีดสุด เมื่อมั่นใจแล้วว่าโดยรอบไม่มีใครแอบฟัง จึงพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “หนานกงหลีไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของท่านอ๋องขอรับ หนานกงซีก็ไม่ใช่ ในปีนั้นที่เมืองเยี่ยน เด็กที่ฮูหยินเหยาพบเข้านั้น…เป็นตัวปลอมขอรับ!”
……
ยามสนธยา โคมไฟเริ่มติดขึ้น
เยี่ยนอ๋องเดินไปตามถนนที่มีผู้คนขวักไขว่
นี่เป็นเทศกาลโคมซึ่งหนึ่งปีมีเพียงครั้งเดียว ปีที่แล้วจัดในวันชีซี[1] แต่เนื่องจากภัยแล้ง ปีนี้จึงเลื่อนไปจัดในวันจงหยวน[2]
เป็นเพราะผู้คนตั้งตารอนานกว่าปกติ เทศกาลโคมไฟในครั้งนี้จึงคึกคักมากกว่าเดิม
เยี่ยนอ๋องซื้อขนมแป้งนึ่งหนึ่งกล่อง เมื่อเดินกลับไปที่เดิม พวกเขาก็หายไปแล้ว เยี่ยนอ๋องมองไปรอบๆ ในที่สุดก็เห็นร่างอรชรงดงามสวมอาภรณ์สีม่วงอ่อนยืนอยู่หน้าแผงขายโคมไฟดอกบัว
เขาเดินเข้าไปด้วยความดีใจ ขยับเข้าไปแนบชิดนาง จับมือของนาง และส่งขนมแป้งนึ่งให้ “เยี่ยน(艳)เอ๋อร์!”
สตรีตรงหน้าหันมา มองเขาด้วยความตกตะลึง
“อ้าว!” เยี่ยนอ๋องสีหน้าเปลี่ยนไป รีบปล่อยมือของนาง ขนมแป้งนึ่งร้อนๆ หล่นลงบนพื้น เขาผงะถอยไป แล้วเอ่ยขึ้นด้วยความละอายใจ “ข้าจำคนผิด ขอโทษด้วย!”
เยี่ยนอ๋องเดินจากไปด้วยความกระดากอาย
หนานกงเยี่ยนมองไปยังแผ่นหลังที่ห่างออกไปเรื่อยๆ แล้วถามองครักษ์ว่า “เขาคือใคร?”
องครักษ์ตอบว่า “ทูลตี้จี เขาคือเยี่ยนอ๋องแห่งต้าโจว เป็นน้องชายแท้ๆ ของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงเยี่ยนเบ้ปาก “เขารู้ได้อย่างไรว่าข้าชื่อเยี่ยน(雁)เอ๋อร์?”
องครักษ์กล่าวว่า “เขาบอกว่าเขาจำคนผิดขอรับ”
หนานกงเยี่ยนเลิกคิ้ว “ใครจะไปเชื่อ!”
องครักษ์ “…”
“เยี่ยนเอ๋อร์!” หนานกงเยี่ยนเลียนเสียงของเขา แล้วก็หัวเราะออกมา “น่าฟังจริงๆ”
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท ฝ่าบาทเพคะ!”
หนานกงเยี่ยนสะดุ้งตื่นจากความฝัน นางมองไปยังห้องขังเย็นๆ แล้วมองไปยังนางกำนัลซึ่งเขย่านางจนตื่น จากนั้นก็นึกได้ว่าตนอยู่ในห้องขังของคุกหลวง
“เจ้ามาได้อย่างไร” หนานกงเยี่ยนถาม
นางกำนัลคนนี้เป็นคนสนิทของฮองเฮา ตามรับใช้ข้างกายฮองเฮาตลอดเวลา
“ฮองเฮาเป็นห่วงตี้จี จึงให้ข้ามาดู ท่านผอมลง เมื่อครู่ข้าเรียกท่านแล้ว แต่ท่านไม่ตื่น จึงคิดว่าท่านหมดสติไป และเรียกหมอหลวงมาโดยพลการ” นางกำนัลกล่าว ความดีใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง
หนานกงเยี่ยนมองนางด้วยความประหลาดใจ “สีหน้าเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
นางกำนัลกล่าวด้วยสีหน้าตื่นเต้นว่า “ยินดีด้วยเพคะ ท่านตั้งครรภ์แล้ว!”
หนานกงเยี่ยนคิดว่าตนฟังผิดไป “เจ้า…เจ้าว่าอย่างไรนะ”
นางกำนัลกล่าวว่า “หมอหลวงบอกว่าท่านมีชีพจรของคนตั้งครรภ์ ยินดีด้วยเพคะ! ข้าเพิ่งจะกราบทูลฮองเฮา ฮองเฮาทรงทราบเรื่องแล้ว ต้องดีใจมากเป็นแน่ ฝ่าบาทก็ต้องดีใจมากเช่นกัน!”
องค์ประมุขและฮองเฮารักนางมาก ย่อมต้องดีใจที่นางตั้งครรภ์ แต่คนแรกที่ปรากฏขึ้นในสมองของหนานกงเยี่ยนกลับไม่ใช่ฮองเฮาและองค์ประมุข
“ราชบุตรเขยรู้ข่าวแล้วหรือยัง?” หนานกงเยี่ยนคว้ามือนางกำนัล
รอยยิ้มของนางกำนัลชะงักในทันใด นางส่ายหน้าพลางตอบว่า “ยังเพคะ”
หนานกงเยี่ยนครุ่นคิด ความคิดหนึ่งแล่นปราดเข้ามาในสมองของนาง นางจับมือของนางกำนัลแน่น “ข้ารู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน…เจ้าให้ข้าออกไป ข้าจะไปบอกข่าวนี้กับเขา! ข้าตั้งท้องลูกของเขา…เขาเป็นพ่อ…เขาจะต้องดีใจ…เขาต้องดีใจอย่างแน่นอน…”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]