หลังจาก ‘เข้าๆ ออกๆ ’ อยู่หลายวัน ในคืนอันเงียบสงัดคืนหนึ่ง ณ สวนอูถง เทพสงครามแห่งหนานจ้าวและต้าโจวก็ได้พบกันโดยบังเอิญในที่สุด
เซียวเจิ้นถิงมาช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้ซิวหลัว เห้อเหลียนเป่ยหมิงนำยามาให้ซิวหลัว สงครามของทั้งสองดินแดนกำลังคุกรุ่น เดิมทีทั้งสองควรจะสู้กันจนตายไปข้างหนึ่งในสนามรบ สุดท้ายพวกเขากลับต้องมาร่วมมือกัน เพื่อเป้าหมายเดียวกัน
เซียวเจิ้นถิงมายังจวนสกุลเห้อเหลียนหลายครั้งแล้ว เห้อเหลียนเป่ยหมิงรู้แต่ก็มิได้พูดออกไป ขอเพียงไม่มาพบหน้ากันตรงๆ เขาก็แสร้งว่าไม่เคยพบกันก็พอแล้ว ทว่าบัดนี้พวกเขาพบหน้ากันตรงๆ จะให้แสร้งทำเป็นไม่รู้จักอีกฝ่ายได้หรือ?
เซียวเจิ้นถิงไม่ได้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจไปน้อยกว่าเห้อเหลียนเป่ยหมิงเลย
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ปิดบังสถานะของตน แต่ก็ไม่ได้ป่าวประกาศเสียใหญ่โต ทั้งสองล้วนมีจุดยืนของตนเอง เรื่องบางเรื่องรู้เพียงในใจ ไม่จำเป็นต้องอวดอ้าง
ทว่าในตอนนี้ ห้องนั้นดูคับแคบลงไปถนัดตา คนหนึ่งยืนอยู่นอกประตู อีกคนหนึ่งยืนอยู่ด้านในประตู
“อะแฮ่ม!”
“อะแฮ่ม!”
ทั้งสองกระแอมขึ้นพร้อมกัน
แม่ทัพเข้าประชิด สองดินแดนเผชิญหน้า สงครามกำลังจะเริ่มต้น องค์ประมุขแห่งหนานจ้าวและฮ่องเต้แห่งต้าโจวแทบจะอดรนทนไม่ไหว อยากถกแขนเสื้อขึ้นฟาดฟันกันให้รู้แล้วรู้รอด ในฐานะที่พวกเขาเป็นขุนนาง…ก็จำต้องประลองกันสักคราใช่ไหมเล่า?
“เอ๋? ท่านแม่ทัพ! พี่ใหญ่! พวกท่านมาแล้วหรือ? ยืนนิ่งทำอะไรกันอยู่? ฝนจะตกแล้ว! รีบเข้าบ้านเร็ว!” อวี๋เซ่าชิงเดินถือกระจาดใส่พริกแห้งออกมาจากชีสยาย่วนอย่างสบายอารมณ์
น้ำเสียงและสีหน้าของเขาดูจะเหลือเชื่อ ราวกับว่าผู้ที่ตนทักทายเมื่อครู่ไม่ใช่แม่ทัพที่ควรต่อสู้กัน
เห้อเหลียนเป่ยหมิงและเซียวเจิ้นถิงมองด้วยความตื่นตะลึง พวกเขายืนนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง
เจ้านี่ไม่รู้หรืออย่างไรว่าพวกเขาเป็นใคร? ไม่รู้หรือว่าพวกเขากำลังจะชักกระบี่มาแทงกันตายอยู่แล้ว
อวี๋เซ่าชิงเดินไป เมื่อเห็นว่าทั้งสองไม่ได้ตามมา จึงหันหลังกลับไปถามด้วยความประหลาดใจว่า “บุรุษผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสอง มัวยืนอยู่ทำไมหน้าประตู? ขวางทาง!”
เขาพูดไปพลางมองทั้งสองคน
เซียวเจิ้นถิงมองไปด้านหน้า ส่วนเห้อเหลียนเป่ยหมิงหันหลังกลับไป ก็เห็นจื่อซูกำลังใช้แรงทั้งหมดที่มียกกะละมังเสื้อผ้าที่เพิ่งซักเสร็จ จะเข้าไปก็ไม่ได้ ไม่เข้าไปก็ไม่ได้
เห้อเหลียนเป่ยหมิงเป็นเจ้าบ้าน เขาจึงเอ่ยปากขึ้นก่อนว่า “เข้าไปนั่งในห้องหนังสือเถิด”
“อืม” เซียวเจิ้นถิงตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เซียวเจิ้นถิงเดินไป ล้อรถเข็นของเห้อเหลียนเป่ยหมิงติดในซอกหิน
เซียวเจิ้นถิงจึงเข้าไปดึงรถเข็นขึ้นมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“ขอบคุณ” เห้อเหลียนเป่ยหมิงบอก
“ไม่ต้องขอบคุณ” เซียวเจิ้นถิงตอบ
ทั้งสองตรงไปยังห้องหนังสือ
อวี๋เซ่าชิงยกพริกแห้งไปยังห้องครัวเล็ก อาซูอยากกินไก่หั่นลูกเต๋าผัดพริก เขาจึงจะแสดงฝีมือสักหน่อย
ไหนเลยจะรู้ว่ายังไม่ทันเดินเข้าไปถึงสองก้าว ด้านหลังก็มีเสียงตวาดของพี่ใหญ่ของตนและแม่ทัพใหญ่ดังมา “เจ้าเข้ามาสิ!”
อวี๋เซ่าชิงใจหายวาบ
เห้อเหลียนเป่ยหมิงและเซียวเจิ้นถิงจ้องหน้ากันและกันเขม็ง สีหน้าของพวกเขาไม่ค่อยน่าดูเท่าไรนัก
เจ้ากล้าดุน้องชายของข้าหรือ?
เจ้ากล้าดุผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าหรือ?
อวี๋เซ่าชิงเดินถือกระจาดพริกแห้งเข้าไปในห้อง “เกิดอะไรขึ้น”
ทั้งสองมีสีหน้าคล้ายกับอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา
ในสมองของอวี๋เซ่าชิงในตอนนี้มีเพียงวิธีทำไก่หั่นลูกเต๋าผัดพริก ไม่ได้สังเกตว่าการพบหน้ากันของพี่ชายและแม่ทัพใหญ่ในครั้งนี้มีสิ่งใดผิดปกติ
ตอนนั้นเองอวี๋หวั่นเดินผ่านมา จึงเอ่ยทักทาย “เอ๋? ท่านพ่อ ท่านลุงใหญ่ พวกท่านก็อยู่หรือ? ข้าลืมแนะนำไปเลย ท่านลุงใหญ่ นี่คือแม่ทัพใหญ่เซียว ท่านพ่อ นี่คือเทพสงครามเห้อเหลียน”
ทั้งสองถึงคราวต้อง ‘ร่วมมือกัน’ จริงๆ เสียแล้ว
อวี๋หวั่นรู้ว่าพวกเขามีเรื่องใดค้างคาใจ แต่อย่างไรเสียก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ล้วนแต่เป็นคนที่เชื่อใจได้ เธอจึงไม่ได้รู้สึกกังวลใจ พร้อมทั้งเล่าเรื่องที่เซียวเจิ้นถิงและซั่งกวนเยี่ยนเข้ามาอยู่ที่เรือนบนถนนซื่อสุ่ยให้เห้อเหลียนเป่ยหมิงฟัง
เห้อเหลียนเป่ยหมิงรู้เรื่องที่ครั้งก่อนเซียวเจิ้นถิงมาหาอวี๋หวั่นแล้ว แต่เรื่องที่เขาย้ายเข้าไปอยู่ในเรือนฝั่งตรงข้ามกับเยี่ยนอ๋องนั้น เห้อเหลียนเป่ยหมิงมิได้คาดคิดมาก่อน เขาตกใจจนไม่รู้ว่าควรพูดว่าอย่างไรดี
อวี๋หวั่นเอ่ยขึ้นว่า “ท่านพ่อกับท่านแม่มาหาเยี่ยนจิ่วเฉากับเยี่ยนอ๋อง พวกเขามากันแค่สองคน มีสาวใช้ชื่อซิ่งจู๋ติดตามมาด้วย แม้แต่สารถีรถม้า พวกเขายังมาจ้างหลังจากเข้ามาในหนานจ้าวแล้ว”
ความหมายโดยนัยก็คือ การที่เทพสงครามแห่งต้าโจวลอบเข้ามาในหนานจ้าวนั้นมิใช่เพื่อสืบข้อมูลทางการทหารแต่อย่างใด
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นพูดเรื่องนี้และคำพูดนี้ เห้อเหลียนเป่ยหมิงคงไม่ปักใจเชื่อง่ายๆ แต่เขารู้จักอวี๋หวั่นดี เด็กคนนี้ไม่ใช่คนซื่อบื้อ และไม่มีทางหลอกลวงสกุลเห้อเหลียนเพียงเพื่อประจบฮ่องเต้และแม่ทัพใหญ่แห่งต้าโจว
ยิ่งไปกว่านั้น ฮ่องเต้ต้าโจวยังไม่รู้เรื่องที่เซียวเจิ้นถิงลอบเข้ามาในเมืองหลวง นี่เป็นการตัดสินใจของเซียวเจิ้นถิงเพียงฝ่ายเดียว ราชสำนักต้าโจวไม่รู้เรื่องด้วย
อีกอย่าง เรื่องระหว่างเซียวเจิ้นถิงกับซั่งกวนเยี่ยน เห้อเหลียนเป่ยหมิงก็พอจะได้ยินมาบ้าง หากเขาจะติดตามซั่งกวนเยี่ยนเพื่อมาหาลูก ก็มิใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เห้อเหลียนเป่ยหมิงไม่ได้นึกสงสัยในแรงจูงใจของเซียวเจิ้นถิงตั้งแต่แรกเริ่ม เป็นเพราะถึงแม้เขาจะรู้ว่าเซียวเจิ้นถิงเข้าๆ ออกๆ จวนสกุลเห้อเหลียน เขาก็ทำเป็นหลับตาข้างหนึ่ง เพียงแต่ว่าวันนี้บังเอิญพบหน้ากันตรงๆ เขาจึงจำต้องต้อนรับขับสู้
เห้อเหลียนเป่ยหมิงมองอวี๋หวั่น จากนั้นก็มองไปยังน้องชายของตน
ทั้งสองมองเขาด้วยสีหน้าไร้เดียงสา
เขาถอนหายใจยาวๆ ครั้งหนึ่ง “เอาเถอะ ข้าจะไม่พูดออกไป”
เขาติดค้างพวกเขามาไม่รู้กี่ครั้ง ตั้งแต่เด็กคนนี้เข้ามาในสกุลเห้อเหลียน นางทำละเมิดกฎของตระกูลไปไม่รู้กี่ครั้ง จนเขาเองก็จำไม่ได้แล้ว
สกุลเห้อเหลียนที่จงรักภักดีต่อองค์ประมุขไปชั่วชีวิต บัดนี้กำลังมีเรื่องปิดบังองค์ประมุข ราวกับพระองค์ตาบอด
“ที่ชายแดน…” เมื่อนึกเรื่องหนึ่งออก เห้อเหลียนเป่ยหมิงก็เอ่ยถามเซียวเจิ้นถิง
เซียวเจิ้นถิงตอบว่า “ข้ามีตัวแทนอยู่ในกองทัพ นอกจากหนานกงหลีแล้ว คงไม่มีใครรู้ว่าข้าไม่อยู่”
อวี๋หวั่นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถามว่า “หนานกงหลีรับราชโองการให้นำทัพไป และบอกว่าถ้าหากไม่ได้ศีรษะของแม่ทัพใหญ่มา ก็จะไม่กลับเมืองหลวง แต่ในตอนนี้แม่ทัพใหญ่เดินทางมายังเมืองหลวงแล้ว หมายความว่าเขาก็ต้องรีบตามมา นั่นก็เท่ากับขัดราชโองการ ถ้าหากไม่กลับมา ก็ไม่มีทางได้ศีรษะของแม่ทัพ เพราะฉะนั้นเขาไม่เพียงไม่อาจเปิดเผยตำแหน่งของแม่ทัพใหญ่ได้ แต่ก็ยังต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับอีกด้วย”
ส่วนทางองค์ประมุขหนานจ้าว หากกองทัพต้าโจวยังไม่เคลื่อนไหว เขาก็จะยังไม่กระจ่างว่าเรื่องนี้มีสิ่งใดไม่ชอบมาพากล บางทีเขาอาจคิดว่าแม่ทัพใหญ่กำลังซ่องสุมขุมกำลังขนาดใหญ่ เพื่อบีบบังคับให้ส่งราชบุตรเขยคืนก็เป็นได้
เห้อเหลียนเป่ยหมิงพยักหน้า หลานสาวของเขาพูดได้ถูกต้อง จากความเข้าใจที่เขามีต่อองค์ประมุขแล้ว พระองค์ไม่มีทางเดาได้ว่าเซียวเจิ้นถิงไม่ได้อยู่ในกองทัพและเดินทางมายังเมืองหลวงแล้ว ส่วนหนานกงหลี ซิวหลัวย่อมเป็นหลักฐานชิ้นประจักษ์ เขาเป็นผู้ที่ไม่ต้องการให้ตำแหน่งของเซียวเจิ้นถิงถูกเปิดเผยมากที่สุด อีกทั้งยังคิดจะจัดการเรื่องนี้ภายในครั้งเดียว
“เจ้าไม่ได้บอกว่า…เขามีซิวหลัวคนใหม่หรอกหรือ?”
อวี๋หวั่นพยักหน้า “อิ่งซันไปจวนตี้จีมาเจ้าค่ะ เขาบอกว่าซิวหลัวคนใหม่ไม่ได้มีแค่คนเดียว”
แม้ว่าเขาจะลอบเข้าไปในจวนตี้จีไม่ได้ แต่เขาก็เป็นถึงครึ่งหน่วยกล้าตาย ประสาทสัมผัสของเขาว่องไวต่อกลิ่นอายของซิวหลัวมากกว่าคนทั่วไป กลิ่นอายนั้นเป็นกลิ่นอายที่ทำให้เขาถึงกับรู้สึกชา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]