หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3] นิยาย บท 325

หนานกงหลีขึ้นเหนือลงใต้มามาก พบปะผู้คนมานับไม่ถ้วน แต่กลับไม่เคยพบผู้ใดที่หน้าไม่อายเช่นนี้มาก่อน

นางเป็นสนมขององค์ประมุข เขาเป็นหลานชายขององค์ประมุข นางกล้าพูดว่าเขาเป็นหนึ่งในชายชู้ของนาง นางรู้หรือไม่ว่าคำนี้มันน่าอดสูเพียงใด

ยังไม่ต้องเอ่ยถึงสถานะและอายุของพวกเขา เขากับนางไม่มีความสัมพันธ์อันใดต่อกัน และเขาก็ไม่ได้สติฟั่นเฟือนถึงกับจะทำเรื่องพรรค์นั้นด้วย!

ยิ่งไปกว่านั้น คำว่า ‘หนึ่งใน’ หมายความว่าอย่างไรกัน?

นางคิดจะเปลี่ยนคนไม่ซ้ำหน้ากันทุกวันเลยหรือ?

หนานกงหลีโทสะพลุ่งพล่าน

พูดคุยกันไม่เท่าไร สตรีผู้นี้ก็ทำให้เขาโมโหถึงเพียงนี้ ไม่อยากจินตนาการว่าองค์ประมุขและฮองเฮาที่ ‘สนิทชิดเชื้อ’ กับนางนั้นต้องเผชิญกับอะไรบ้าง

หนานกงหลีพลันรู้สึกเห็นใจท่านตาและท่านยายของตนขึ้นมา

อย่างไรก็ดี ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเห็นใจใคร เขามีเรื่องเกิดขึ้นกับตัว อีกไม่นานก็คงจะถูกสตรีเฒ่าผู้นี้ทำให้ประสาทเสีย และลืมสิ่งที่ตนจะต้องทำไปเสียสนิท

“เจ้ากำลังจะทำข้าเสียเรื่อง!”

หนานกงหลีตั้งสติได้ทันท่วงที จากนั้นจึงสั่งองครักษ์ซึ่งเฝ้าอวิ๋นเฟยว่า ไม่ว่าอวิ๋นเฟยจะโวยวายหรือหาเรื่องอะไร ให้หาวิธีแก้ปัญหาด้วยตนเอง ไม่ต้องมาถามเขาอีก

หลังจากนั้นองครักษ์ก็ไม่มาหาเขาอีก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาสามารถแก้ปัญหาด้วยตนเองแล้ว หรือเป็นเพราะอวิ๋นเฟยเบื่อที่จะโวยวายแล้ว

บัดนี้หนานกงหลีมิได้ใส่ใจอวิ๋นเฟยอีกต่อไป เขาเดินออกจากห้องทำสมาธิ ตรงไปยังศาลาบนไหล่เขา ยืนรับลมแห่งขุนเขาซึ่งโชยมาปะทะใบหน้าอย่างแผ่วเบา จากตรงนี้ เขาสามารถมองลงไปเห็นเส้นทางมายังวัดฉางถิง

นี่ก็ดึกมากแล้ว เส้นทางก็ขรุขระ ถ้าหากนางมาที่นี่เพียงลำพัง นางจะหาทางขึ้นเขาเจอไหม?

เขามิได้วิตกแม้แต่น้อยว่าอวี๋หวั่นจะตกอยู่ในอันตราย เขาคิดเพียงว่าทางที่ดีที่สุดคือต้องไม่ปล่อยให้เด็กคนนั้นหลงทาง ไม่เช่นนั้นแผนการของเขาก็คงล่มไม่เป็นท่า

หนานกงหลีเรียกองครักษ์มา “พวกเจ้าไปรอที่เชิงเขา”

“ขอรับ!”

องครักษ์ทั้งห้ารับคำสั่ง แล้วถือคบเพลิงไปรอด้านล่าง

หนานกงหลียืนเอามือไพล่หลังอยู่ในศาลา รอคอยการมาถึงของอวี๋หวั่น

ไม่รู้ว่าเขารอคอยอยู่นานเท่าไร ก็ยังไม่มีวี่แววของอวี๋หวั่น

หรือว่านางไม่สนว่าอวิ๋นเฟยจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร จึงมิได้คิดจะมาช่วย?

เวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา ความอดทนของหนานกงหลีก็ถึงจุดสิ้นสุด

ขณะที่เขากำลังคิดว่าการกระทำของตนในครั้งนี้สูญเปล่า แสงที่เชิงเขาก็มีการเคลื่อนไหว ทันใดนั้นองครักษ์คนหนึ่งก็ใช้วิชาตัวเบากระโดดขึ้นมายังศาลา ยกมือขึ้นประสานกันเบื้องหน้าเขาแล้วกล่าวว่า “กราบทูลองค์ชาย นางมาแล้วขอรับ”

“มาคนเดียว?” หนานกงหลีจ้องเขม็ง

“ขอรับ” องครักษ์ตอบ “ข้าน้อยมั่นใจว่าไม่มีใครติดตามนางมา”

หนานกงหลีฉุกคิด “เจ้าไม่ได้จำคนผิดใช่ไหม?”

องครักษ์ตอบด้วยความมั่นใจว่า “ข้าน้อยเคยเห็นภาพเขียนของนาง จำไม่ผิดแน่นอนขอรับ”

ลูกพี่ลูกน้อง เจ้ากล้ามาจริงๆ ด้วย

หนานกงหลีแค่นเสียงหัวเราะ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางสบายอารมณ์ว่า “พาคนขึ้นมา แล้วไปหาข้าที่ห้องทำสมาธิ”

“ขอรับ!” องครักษ์รับคำสั่ง ไม่นานก็นำสตรีสวมผ้าคลุมสีดำเข้าไปยังวัดฉางถิง และพานางไปยังห้องทำสมาธิดังที่หนานกงหลีสั่งไว้

เมื่อหนานกงหลีผลักประตูเข้าไป ก็เห็นร่างอรชรอ้อนแอ้นที่แสนคุ้นเคย แผ่นหลังของนางหันหาประตู นางสวมผ้าคลุมสีดำ สวมหมวกสานซึ่งปิดบังใบหน้าของนาง

ภายใต้ผ้าคลุม นางสวมชุดยาวเนื้อผ้าโปร่งสีขาวสะอาดตา จากจุดที่เขายืนอยู่ สามารถมองเห็นรองเท้าสีชมพูอ่อนปักดิ้นงดงาม บนรองเท้าประดับด้วยไข่มุกเม็ดสวย

“เจ้ามาแล้ว” หนานกงหลีกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา

อีกฝ่ายมีปฏิกิริยาตอบสนอง ร่างของนางค่อยๆ หันมา เผยให้เห็นมือเรียวซึ่งพาดอยู่บนหน้าขา รวมใบถึงใบหน้าครึ่งหนึ่งซึ่งอยู่ใต้หมวกสานนั้นด้วย

ใบหน้านั้น เป็นเห้อเหลียนหวั่นอย่างมิต้องสงสัย

เด็กโง่ มาที่นี่โดยลำพังจริงด้วย นางไม่เข้าใจหรือว่านี่หมายความว่าอย่างไร นางคิดว่าเขาเป็นวิญญูชน แต่เขากลับไม่ได้คิดจะเป็นเช่นนั้น

“เจ้ากล้ามาจริงๆ ข้าคิดว่าอย่างน้อยเจ้าอาจให้คนติดตามมา” หนานกงหลีเย้าหยอก และนั่งลงบนเก้าอี้ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากอวี๋หวั่นเท่าไร

เห้อเหลียนหวั่นยังคงไม่ตอบอะไร เมื่อหนานกงหลีเห็นท่าทางสงบเสงี่ยมเหนียมอายของนางแล้ว ก็พลันรู้สึกหัวใจพองโตอย่างบอกไม่ถูก

หลังจากมายังหนานจ้าว หนานกงหลีก็พบว่าเห้อเหลียนหวั่นไม่ใช่เด็กสาวชาวบ้านที่ถูกรังแกได้ง่ายอีกต่อไป ครานั้นนางถูกเขาบีบบังคับอยู่หลายครั้ง บัดนี้นางแลดูราวกับกลับมาอยู่ในวันคืนอันแสนชื่นมื่นของเขาอีกครั้ง

นั่นทำให้หนานกงหลีอารมณ์ดีเหลือเกิน แม้แต่อารมณ์ขุ่นมัวเพราะอวิ๋นเฟยก็พลันมลายหายไปด้วย

เขาเอ่ยขึ้นว่า “อวิ๋นเฟยอยู่ในห้องทำสมาธิด้านหลัง เจ้าวางใจเถิด ข้าดูแลนางเป็นอย่างดี ขอเพียงเจ้าฟังสิ่งที่ข้าพูด ข้ารับประกันว่าเจ้ากับอวิ๋นเฟยจะไม่เป็นไร”

เห้อเหลียนหวั่นยังคงไม่พูดอะไร นางเพียงนั่งก้มหน้าเล่นกับผ้าคาดเอว

ในสายตาของหนานกงหลี ท่าทางสงบเสงี่ยมเชื่อฟังเช่นนี้แฝงไปด้วยความรู้สึกผิด และนั่นทำให้หนานกงหลีรู้สึกใจอ่อน

จะว่าไปก็น่าแปลกเสียจริง ตนไม่ได้มีจิตพิศวาสแม่นางผู้นี้ดังที่บุรุษและสตรีมีต่อกัน ที่เขาอยากครอบครองนางนั้นเป็นเพราะนางเป็นคนของเยี่ยนจิ่วเฉาก็เท่านั้น

ทว่าตอนนี้…

หนานกงหลีกดหัวใจซึ่งเต้นระรัวของตนไว้ แย่แล้ว ความรู้สึกที่เขามีต่อนาง…

เขาตั้งสติ พยายามขจัดความคิดฟุ้งซ่านไปจากสมอง “อันที่จริง ข้าก็ไม่ได้อยากเป็นศัตรูกับเจ้า เดิมทีข้าเห็นตราประทับของเผ่าปีศาจบนร่างของเจ้า ข้าก็เดาได้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเจ้าจะต้องไม่ธรรมดา เพียงแต่ข้าไม่คาดคิดว่าเจ้าจะก้าวมาถึงจุดนี้ได้ อยู่ที่ต้าโจวดีๆ ไม่ชอบหรืออย่างไร? ไฉนต้องกลับมาหนานจ้าว? มาแย่งชิงของที่เดิมทีก็ไม่ใช่ของเจ้าอยู่แล้ว

แม่ของเจ้าเป็นถึงตี้จีองค์โต นางเกิดมาเป็นกาลิณี นางจะนำพาหนานจ้าวสู่หายนะ เรื่องนี้เป็นความจริงแท้ ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ เพราะฉะนั้นต่อให้เจ้ามีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์แล้วอย่างไร? เจ้าไม่มีทางเอาชนะข้าได้หรอก”

พูดมาถึงตรงนี้ หนานกงหลีก็ยิ้มน้อย หว่างคิ้วของเขาปรากฏความรู้สึกลำพองใจ “ข้าขอบอกเจ้าไว้ก่อนว่าพวกเจ้าไม่มีทางชนะ ถือใช้โอกาสนี้ล้มเลิกความคิดที่ไม่ควรคิดเสีย ก่อนที่จะสายจนเกินแก้ เจ้าเป็นลูกพี่ลูกน้องของข้า ขอเพียงทำตามที่ข้าบอก ข้าก็จะไม่แตะต้องตี้จีองค์โต อวิ๋นเฟยก็จะได้ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบสุข ส่วนเงื่อนไขของข้านั้น ข้าคิดว่าเจ้าคงกระจ่างดี ข้าต้องการศีรษะของเยี่ยนจิ่วเฉาและเซียวเจิ้นถิง!

เจ้าอย่าเพิ่งรีบปฏิเสธข้า ข้าให้เวลาเจ้าคิดอีกหนึ่งคืน พรุ่งนี้เช้า เจ้ามีตัวเลือกคือตอบตกลงข้า หรือถูกจัดการ เจ้า

คิดเองก็แล้วกัน

อ่า อีกอย่าง อย่าคิดเล่นแง่เชียว พวกเจ้าเอาชนะข้าไม่ได้หรอก รู้ไหมว่าเพราะอะไร”

หนานกงหลีชูนิ้วขึ้นมา “ข้ามีซิวหลัวสามคน”

ในที่สุดอีกฝ่ายซึ่งนั่งก้มหน้าใกล้ผล็อยหลับก็มีปฏิกิริยาตอบสนองกับประโยคสุดท้าย นัยน์ตาของนางลุกวาวขึ้นมา!

ซซซ…ซิวหลัว!

สสส…สามคน!!!

สู้กับพวกเขาได้หรือ?

ซิวหลัวที่บ้านเป็นเพื่อนของเด็กๆ สู้กับพวกเขาไม่ได้ ใจร้ายเกินไปแล้ว!

หนานกงหลีประหลาดใจที่อยู่ๆ นางก็สะดุ้งยืดตัวตรงขึ้นมา เขาคิดไปเองหรือเปล่านะ ทำไมรู้สึกเหมือนนางกำลังน้ำลายสอ?!

“เจ้าหิวหรือ…”

หนานกงหลีพูดไปเพียงครึ่งเดียว ร่างอรชรก็พุ่งเข้าหาหนานกงหลี จนเขาล้มลงไปกับพื้นเย็นเฉียบ

หนานกงหลีไม่ทันตั้งตัว ด้านหลังศีรษะจึงกระแทกกับพื้นอย่างแรง จนเขาตาลาย และหูอื้อไปหมด

ชั่วขณะที่เขาหูอื้อนั้นเอง ทำให้เขาไม่ได้ยินคำถามของนางเจียง

นางเจียงเริ่มรำคาญใจ จึงนั่งยองลงคว้าผมของเขา จากนั้นก็กระชากอย่างแรงจนศีรษะของเขาเหวี่ยงไปตามแรงของนาง “ข้าถามเจ้าว่าซิวหลัวอยู่ที่ไหน”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]