ท่าทางเศร้าสร้อยและขุ่นเคืองใจนี้
ว่ากันว่าต้องมีคนที่รัก จึงจะรู้สึกเศร้าได้ กระนั้นตั้งแต่เล็กจนโต นางไม่ได้รับความรักจากทั้งบิดาและมารดาแม้แต่น้อย
นางกำนัลซึ่งถูกส่งไปดูแลนางก็รู้สึกไม่พอใจที่ตนถูกส่งไป จึงนำโทสะทั้งหมดมาลงที่นาง
นางเติบโตมาราวกับเป็นวัชพืชต้นหนึ่ง
จนท้ายที่สุด ก็ไม่มีผู้ใดรังแกนางอีก
เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้ถูกรังแกแล้ว แต่ทำไม…
นางเจียงนั่งขัดสมาธิอยู่ที่พื้น ฝ่าเท้าประกบกัน สองมือจับฝ่าเท้า ค้อมกายลง แลดูประหนึ่งกบตัวน้อยที่น่าสงสาร
“จะไม่ใช่เจ้าได้อย่างไร?” อวิ๋นเฟยคุกเข่าลงด้านหลังของนาง
“ไม่ใช่ข้า” นางเจียงตอบด้วยน้ำเสียงน้อยใจ
ทันใดนั้น นางก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากด้านหลัง
อวิ๋นเฟยกอดนางไว้ กลิ่นหอมละมุนของอวิ๋นเฟยลอยมาจากด้านหลังของนางเจียง นี่เป็นกลิ่นที่ไม่อาจพรรณนาได้ กลิ่นหอมอ่อนๆ นี้…ไม่เคยปรากฏอยู่ในความทรงจำของนาง
ศีรษะของนางเจียงก้มต่ำ
ถ้าหากอวิ๋นเฟยอ้อมไปมองด้านหน้า ก็จะเห็นใบหน้าเล็กขนาดเท่าฝ่ามือของนางเจียงกำลังเป็นสีแดงระเรื่อ
แต่อวิ๋นเฟยมิได้ทำเช่นนั้น
อวิ๋นเฟยยังคงกอดนาง กอดนางราวกับเป็นเสี่ยวหลงเปาไส้เนื้อแพะที่นางชอบกินที่สุด
นางเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า “ในวันที่เจ้าเกิด เจ้าก็ถูกพาตัวไปแล้ว ข้ายังคิดว่าชีวิตนี้คงไม่ได้พบเจ้าอีกแล้ว”
ค่ำคืนซึ่งหิมะตกหนักยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของนาง หลังจากที่คลอดลูกออกมาแล้ว อวิ๋นเฟยก็นอนอยู่บนเตียงอย่างอ่อนแรง เหล่านางกำนัลกรูกันเข้ามาแย่งทารกในอ้อมแขนของนางไป
เสียงร้องไห้ของเด็กคนนั้นดังมาจากประตูวัง นางคุกเข่าลงบนหิมะ อ้อนวอนให้ชายผู้นั้นคืนลูกให้นาง
แต่เขาหาได้ทำตามคำอ้อนวอนของนางไม่
“ฝ่าบาท ตี้จีองค์เล็กร้องไห้ ฮองเฮาทรงปลอบไม่ไหวแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เขาเดินตรงไปหาหญิงผู้นั้นที่ห้องนอน
นางรอคอยปีแล้วปีเล่า รอจนเส้นผมของนางกลายเป็นสีดอกเลา รอจนนางกลายเป็นไม้ใกล้ฝั่ง ไม่คิดเลยว่าได้มาพบกันอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
แม้นางจะไม่ใช่เด็กทารกในห่อผ้า แต่อวิ๋นเฟยก็จดจำนางได้เพียงมองปราดเดียว
นางผ่านชีวิตมาอย่างไรบ้างไม่อาจรู้ได้ กระนั้นอวิ๋นเฟยก็มั่นใจว่านางเผชิญกับความลำบากมาไม่น้อย เด็กที่ถูกประคบประหงมเอาอกเอาใจมาคงจะเติบโตมาเหมือนกับหนานกงเยี่ยนและหนานกงซี อ่อนแอจนบีบด้วยมือเดียวก็ตาย ทว่าความสามารถทุกอย่างที่นางเจียงมี ล้วนเป็นเงาหลงเหลือจากการถูกรังแก
อวิ๋นเฟยรู้สึกเจ็บปวดใจจนร่ำไห้ออกมา
ในวังหลวง อวิ๋นเฟยถูกผลักไสไล่ส่ง นางจึงเข้าใจรสชาติของความทรมานนี้ดีกว่าผู้ใด แต่อย่างไรเสียนางก็เป็นผู้ใหญ่ นางรู้จักป้องกันตัว ทว่าลูกของนางเป็นเพียงทารกในห่อผ้า ต้องล้มลุกคลุกคลานเท่าไรจึงจะเติบโตมาได้
ทุกครั้งที่อวิ๋นเฟยนึกถึงเรื่องนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะก่นด่าองค์ประมุขและฮองเฮาใจไม้ไส้ระกำทุกครั้งไป!
พวกคนใจร้าย!
อวิ๋นเฟยกอดนางเจียงอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อรู้สึกว่าตัวของนางไม่ได้เกร็งเช่นก่อนหน้านี้แล้ว ก็ค่อยๆ ปล่อยร่างเล็กของนางเจียง ให้นางเจียงนอนตะแคงอยู่ในอ้อมอกของตน
ลมเย็นพัดเข้ามาในวัดอย่างแผ่วเบา
ไม่มีใครพูดอะไร โดยรอบมีแต่ความเงียบสงัด
หัวใจอันบอบช้ำและด้านชาของอวิ๋นเฟยกลับมาเต้นอีกครั้ง นางสัมผัสได้ถึงโลหิตที่ไหลเวียนในร่างกาย นางรู้สึกราวกับทุกสิ่งไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ระหว่างที่สองแม่ลูกกอดกันอยู่นั้น หนานกงหลีก็ฟื้นขึ้นมา
เขาลอบมองสองแม่ลูกซึ่งกำลังดำดิ่งอยู่ในความรู้สึกตื้นตัน เมื่อมั่นใจแล้วว่านี่เป็นโอกาสทองที่จะหลบหนี เขาจึงใช้มือดันตนเองขึ้นมา แต่ยังไม่ทันได้ลุกขึ้น สองแม่ลูกก็ปล่อยหมัดออกมา ต่อยเข้าที่เบ้าตาของเขาจนเขียวเหมือนหมีแพนด้า ร่างของหนานกงหลีร่วงแผละลงบนพื้น!
“กลับไปที่ห้องทำสมาธิเถิด ตรงนี้หนาว”
จะไม่หนาวได้อย่างไรเล่า?
กำแพงทั้งสี่ด้านถูกใครก็ไม่รู้ต่อยจนทะลุ ลมยามราตรีพัดเข้ามา อวิ๋นเฟยหมายความว่าร่างกายอันแก่ชราของนางทนความเย็นนี้ไม่ไหว
“อื้ม” นางเจียงตอบเสียงค่อย
อวิ๋นเฟยจับมือนุ่มขึ้นมา นางเจียงก้มหน้า แล้วลุกขึ้นตามอวิ๋นเฟยไปอย่างว่าง่าย
ทันใดนั้น ปลาซึ่งหลุดจากแหออกมาตัวหนึ่งก็พุ่งเข้ามาหาพวกนาง
นางเจียงบังเกิดจิตสังหาร แล้วต่อยเขาจมลงกับพื้นในหมัดเดียว
อวิ๋นเฟยย่อมคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอันใด ลูกของนางทำอะไรก็ดี
อวิ๋นเฟยมองนางเจียงด้วยสายคาเปี่ยมไปด้วยความเอ็นดู นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา เช็ดเหงื่อบนหน้าผากของนางเจียง
บนพื้นเกลื่อนกลาดไปด้วยเหล่าองครักษ์และหน่วยกล้าตายซึ่งสลบไป
นางเจียงเดินนำไปด้านหน้า คว้าทีละคนๆ โยนออกไปเพื่อไม่ให้เกะกะทางเดิน
เมื่อเดินมาถึงห้องทำสมาธิ ก็มีเสียงของบุรุษดังขึ้นมาจากเชิงเขา “อาซู——”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]