“แค่กๆ! ไม่ต้องหรอก เจ้าเหนื่อยแล้ว พักผ่อนให้สบายเถิด อาหารเช้าวันพรุ่งนี้พ่อจะทำให้เอง”
ลูกเขยออกตัวช่วยไว้แล้ว อวิ๋นเฟยส่งสายตาให้อวี๋เซ่าชิง พลางยกมือขึ้นลูบศีรษะของอวี๋หวั่นด้วยความเอ็นดู “พ่อเจ้าพูดถูกแล้ว ฟังที่พ่อเจ้าพูดเถิด เจ้ามาอยู่สนทนาเป็นเพื่อนยายดีกว่า”
แม้ว่าอวี๋หวั่นจะอยากสำแดงฝีมือการทำอาหารที่พัฒนาขึ้นของเธอ แต่ในเมื่อท่านยายเอ่ยปากแล้ว อวี๋หวั่นย่อมตอบรับด้วยความยินดี
อวิ๋นเฟยถอนหายใจอย่างโล่งอก
หากรักชีวิต ก็อย่าคิดกินอาหารที่หลานทำ
ดึกมากแล้ว ทว่าอวิ๋นเฟยและอวี๋เซ่าชิงกินอิ่มเกินไปจนนอนไม่หลับ อวี๋หวั่นคิดว่าอวิ๋นเฟยตื่นเต้น ไม่มีท่าทีง่วงนอน พวกเขาจึงมานั่งสนทนากันที่โต๊ะ
พบกันครั้งแรก แต่กลับมิได้รู้สึกอึดอัดและกระอักกระอ่วนอย่างที่คิด ต่างคนต่างรู้สึกสบายใจ อวี๋หวั่นชอบอวิ๋นเฟยมาก อวิ๋นเฟยเองก็ชอบอวี๋หวั่น ส่วนอวี๋เซ่าชิงนั้นแม้เงียบขรึม แต่ท่าทางดูไม่เลว ทั้งยังเอาใจใส่ อวิ๋นเฟยมีหรือจะไม่พอใจ
สิ่งที่สำคัญไปกว่าก็คือ อวิ๋นเฟยจดจำความช่วยเหลือของหนิวตั้นได้ นางจึงปฏิบัติต่อลูกชายของเขาดียิ่งกว่า
ในวัดฉางถิงไม่มีใบชา อวี๋เซ่าชิงต้มน้ำหม้อหนึ่ง จากนั้นก็นำพุทราจีนแห้งในห้องมาแช่เป็นชาพุทราจีน
ทั้งสามดื่มชา
ราตรีเงียบสงัด
อยู่ๆ อวี๋หวั่นก็เอ่ยขึ้นว่า “ท่านยาย เล่าเรื่องในตอนนั้นให้พวกเราฟังได้ไหมเจ้าคะ?”
อวี๋หวั่นไม่ได้ระบุชัดเจนว่าตอนไหน หนึ่งก็เพราะเธอไม่มั่นใจว่าอวิ๋นเฟยจะยินดีเล่าเรื่องราวในอดีตหรือไม่ ถ้า
หากนางไม่ยินดีเล่า นางก็สามารถเลือกเล่าเรื่องที่อยากเล่าได้ สองก็เพราะอันที่จริงเธอก็ไม่มีสิทธิ์ถามเรื่องนี้เท่าไรนัก
อย่างไรเสียข้อมูลเหล่านี้ก็เป็นเพียงคำบอกเล่า ความจริงเป็นอย่างไร เกรงว่าแม้แต่ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้นก็คงไม่กระจ่างเสียด้วยซ้ำ
อวิ๋นเฟยกล่าวว่า “อาหวั่นหมายถึงเรื่องที่ข้าขึ้นเป็นสนมได้อย่างไรน่ะหรือ?”
อวี๋หวั่นครุ่นคิด เรื่องนี้ก็ได้
อวี๋หวั่นพยักหน้า
อวิ๋นเฟยถอนหายใจ “เรื่องบางเรื่องข้าก็ไม่ควรพูดต่อหน้าเจ้า แต่ในเมื่อเจ้าถามขึ้นมา ข้าคิดว่าเล่าให้เจ้าฟังก็ไม่เสียหายแต่อย่างใด”
อวี๋หวั่นและอวี๋เซ่าชิงตั้งใจฟัง
เรื่องในตอนนั้น อวิ๋นเฟยทั้งเคียดแค้นและเจ็บปวด บัดนี้ความรู้สึกเหล่านั้นได้ลดลงแล้ว คนเกิดมามีโชคชะตา แต่โชคชะตาขึ้นอยู่กับตัวมิใช่ฟ้า รู้ได้อย่างไรว่าสวรรค์มองไม่เห็น? ยกตัวอย่างเรื่องของตี้จีองค์โต ก่อนหน้านี้ชีวิตลำบากยากเข็น ภายหลังสวรรค์ก็ค่อยๆ ชดใช้ให้แก่นาง
เพราะฉะนั้น หากจะต้องหยิบยกเรื่องขององค์ประมุขขึ้นมาเล่า อวิ๋นเฟยก็มิได้เดือดดาลเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
นางถามด้วยสีหน้าสงบว่า “เรื่องเล่าที่เจ้าได้ยินเป็นอย่างไร”
สองพ่อลูกเหลือบมองกัน
เรื่องนั้นอวี๋เซ่าชิงไม่กล้าเอ่ยถึง
อวี๋หวั่นเป็นคนโปรดของอวิ๋นเฟย เธอจึงต้องกัดฟันพูดออกไป
อวี๋หวั่นบอกว่า “ข้าได้ยินมาว่าท่านกับฮองเฮาเป็นเพื่อนสนิทกัน ท่านมีคู่หมั้นคนหนึ่ง ทว่าคู่หมั้นของท่านหนีไปกับลูกพี่ลูกน้องของท่านเสียก่อน ฮองเฮาเดือดดาลมาก ไม่เพียงลงโทษคู่หมั้นของท่าน แต่ยังตำหนิลูกพี่ลูกน้องของท่านด้วย ภายหลังงานแต่งงานของเขาก็ล่ม ทว่าชีวิตการแต่งงานของท่านเองก็ยากลำบากเหมือนกัน”
อวี๋หวั่นพูดไปพลางสังเกตสีหน้าของอวิ๋นเฟย และพบว่าขณะที่อวิ๋นเฟยฟังเรื่องราวมากขึ้นเรื่อยๆ มุมปากของนางก็มีรอยยิ้มเย้ยหยันมากขึ้นเช่นกัน
“ยังมีอีกไหม? เจ้าเล่าต่อสิ” อวิ๋นเฟยบอก
อวี๋หวั่นเล่าต่อว่า “ฮองเฮาเห็นว่าท่านโศกเศร้า รับท่านเข้ามาในวังหลวง จัดงานเลี้ยงให้ท่าน ปรากฏว่า…”
“ปรากฏว่าข้าไม่แลคุณชายจากสกุลใหญ่ที่นางคัดสรรมาให้ แต่กลับปีนขึ้นไปบนแท่นบรรทมของฝ่าบาทใช่ไหม?” อวิ๋นเฟยต่อประโยคที่อวี๋หวั่นไม่กล้าพูดออกมาจนจบ
อวี๋หวั่นไม่ตอบ
ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร ข่าวลือที่เธอได้ยินมาย่อมเป็นเช่นนี้ ฮองเฮาจิตใจดีไม่ถือตัว นึกสงสารอวิ๋นเฟย แต่อวิ๋นเฟยกลับทำลายความเป็นพี่น้องเสียยับเยิน นางยั่วยวนสามีของฮองเฮา และนั่นทำให้หลังจากมีคำทำนายว่าเด็กที่อวิ๋นเฟยคลอดออกมาเป็นกาลกิณี ทุกคนจึงเชื่ออย่างสนิทใจ
ในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นตี้จีองค์โตซึ่งถูกทอดทิ้งตั้งแต่ยังเเบเบาะ หรืออวิ๋นเฟยซึ่งถูกปล่อยไว้อย่างโดดเดี่ยวในวัง ทั้งสองล้วนแต่เป็นผู้รับเคราะห์
ทุกคนล้วนมีความเห็นแก่ตัว ไม่ว่าเรื่องนี้จะจริงหรือเท็จ เธอก็จะอยู่ข้างอวิ๋นเฟย เธอไม่ใช่วีรสตรี และไม่ใช่ทวยเทพบนสวรรค์ เธอเป็นเพียงผู้หญิงแสนธรรมดาคนหนึ่ง ถ้าจะให้ลงโทษครอบครัวของตนเองเพื่อผดุงความยุติธรรม เธอทำไม่ได้หรอก
อวี๋หวั่นมองไปยังอวิ๋นเฟย “ท่านยาย ท่านกับฮองเฮาสนิทกันจริงหรือเจ้าคะ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]