คืนที่อวิ๋นเฟยหายตัวไป พายุคลื่นใหญ่พัดกระพือไปทั่ววังหลัง นางไม่ได้ก่อเรื่องมาเพียงครั้งหรือสองครั้ง แต่เพราะก่อนหน้านี้นางไม่ได้รับความโปรดปราน ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจ รวมถึงไม่มีผู้ใดจับจุดอ่อนของนางเช่นกัน เรื่องราวยิ่งใหญ่เกินจะเอาอดีตมาเปรียบเทียบ ตี้จีองค์เล็กถูกลดขั้น ตี้จีองค์โตยิ่งมีชื่อเสียงในหมู่ประชาชนขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ผู้คนในวังก็ยังเริ่มให้ความสำคัญกับนางมากขึ้น
เมื่อมีผู้ที่มองนางสำคัญ แน่นอนว่าต้องมีผู้ที่ไม่พึงใจนางเช่นกัน แต่ไม่ว่าผู้คนในวังจะมีความคิดแบบใด หนึ่งคืนผ่านไป ก็ยังไม่มีผู้ใดพบเห็นเงาของอวิ๋นเฟย
“คงมิใช่ว่านางกระโดดทะเลสาบฆ่าตัวตายไปแล้ว?”
“จะเป็นไปได้อย่างไร? ข้าว่านางน่าจะกระโดดบ่อน้ำเสียมากกว่า”
“บุตรสาวของนางกำลังจะถูกยอมรับกลับมาแล้วแท้ๆ ไยนางกลับมาคิดสั้นเช่นนี้?”
“นั่นปะไร…”
อวิ๋นเฟยที่อยู่บนทางเดินด้านนอกกำแพงวังได้ยินเข้าโดยบังเอิญ “…”
ข้ายังไม่ตาย! ! !
วังหลวงมีสี่ประตูแปดเส้นทาง อวิ๋นเฟยเดินไปประตูทางทิศเหนือซึ่งใกล้กับนางมากที่สุด ทหารองครักษ์ที่ประตูทางทิศเหนือเตรียมพร้อมเฝ้าระวังกันอย่างแข็งขัน เดินอีกเพียงสิบกว่าก้าว ซ้ายมือก็จะเป็นประตูทิศเหนือแล้ว
ลูกตาดำกลิ้งกลอกไปมา เมื่อห่างจากประตูทิศเหนือเพียงสองก้าว จู่ๆ นางก็หยุดแล้วหมุนตัววิ่งกลับไป กระโดดโลดเต้นพลางร้องตะโกนว่า “ฮ่าๆ! ออกมาแล้ว! ออกมาแล้ว!”
ทหารองครักษ์สองนายที่เฝ้าประตูต่างก็ตกอกตกใจ เกิดอันใดขึ้น? ผู้ใดออกมา?
ทหารองครักษ์มองเข้าไปในวังอย่างยากที่จะเชื่อได้ จากนั้นก็เดินออกไปและมองทางขวา พลันเห็นอวิ๋นเฟยที่กำลังวิ่งมาข้างหน้าอย่างมีความสุข
ทั้งสองตกใจจนเหงื่อเย็นผุดพราย!
พบเรื่องประหลาดกลางวันแสกๆ เขาสองคนยืนเฝ้ายามอยู่ดีๆ เหตุใดอวิ๋นเฟยวิ่งออกมาต่อหน้าพวกเขา?
ทั้งสองไม่เข้าใจว่าเรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แต่สิ่งที่แน่นอนก็คือพวกเขาไม่อาจปล่อยให้อวิ๋นเฟยหนีออกจากวังไปเช่นนี้ได้ ไม่เช่นนั้นหากองค์ประมุขไต่ถาม พวกเขาคงถูกลงโทษฐานละเลยหน้าที่!
ทั้งสองไม่สนใจสิ่งอื่นใด รีบร้อนจับอวิ๋นเฟยกลับไป
ข่าวการพบตัวอวิ๋นเฟยแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็วจนถึงพระกรรณขององค์ประมุข
องค์ประมุขกำลังเสวยพระกระยาหารกับฮองเฮาในวังหลวง เมื่อได้ยินว่าอวิ๋นเฟยเกือบหนีออกจากวังไปได้ องค์ประมุขพลันทิ้งตะเกียบในมือลงด้วยแรงโทสะ ลุกขึ้นเสด็จไปตำหนักจูเชวี่ยจูเชวี่ยในทันที
“นำไปเก็บเถิด” ฮองเฮาตรัสน้ำเสียงเนือยนิ่ง
“เพคะ” ข้ารับใช้เก็บอาหารที่ยังกินไปหมดออกไป
องค์ประมุขแบกพระพักตร์เขียวคล้ำด้วยความโกรธมุ่งหน้าไปยังตำหนักของอวิ๋นเฟย
ในเวลานี้อวิ๋นเฟยกำลังนอนเอนกายบนเก้าอี้หวายในลานกว้าง สั่งให้นางกำนัลหั่นแตงกวาสองสามแว่นมาวางบนใบหน้าเพื่อบำรุงผิว ขณะที่โยกเก้าอี้ไปพลาง ก็อาบแดดอย่างสบายๆ โดยไม่มีทีท่าตระหนักว่าตนถูกจับตัวแม้แต่น้อย
องค์ประมุขย่างกรายเข้ามาในลานของนาง
“ฝ่าบาท!” ข้ารับใช้ในลานที่เห็นเขาเดินเข้ามาต่างพากันหวาดผวา รีบคุกเข่าลงอย่างพร้อมเพรียง
“ออกไปให้หมด!” องค์ประมุขตรัสด้วยน้ำเสียงอันเย็นเยียบ
เหล่าข้ารับใช้มองหน้ากันไปมาด้วยความหวาดกลัวและมองไปที่อวิ๋นเฟยโดยไม่ได้นัดหมาย จากนั้นก็เดินตัวสั่นงันงกออกไป
องค์ประมุขนับว่าเป็นคนอารมณ์ดี แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดยามอยู่ต่อหน้าอวิ๋นเฟย เขาจึงไม่อาจควบคุมโทสะในใจได้ หากเป็นคนธรรมดาแอบหนีออกจากวังแล้วถูกจับได้ คงหวาดกลัวจนรีบลงไปคุกเข่า ไหนเลยจะเหมือนนาง ทำราวกับเป็นบรรพบุรุษของตระกูล!
ไม่สิ คนธรรมดาที่ใดจะหนีออกจากวังได้?
บรรดาสนมนางในของบุตรแห่งสวรรค์ การแขวนคอตายและหนีออกจากวังล้วนเป็นอาญาใหญ่หลวงถึงขั้นค้นเรือนยึดทรัพย์ประหารทั้งโคตร!
แต่ราวกับว่าองค์ประมุขมองเห็นปฏิกิริยาตอบกลับของอวิ๋นเฟย เมื่อตนเองกล่าวประโยคนี้ออกไป
‘ยึดๆๆ! ยึดเลย! ยึดหมาลูกแหง่พวกนั้นอย่าให้เหลือ!’
ความเป็นไปได้ที่ปรากฏขึ้นในจิตใจ ชวนให้องค์ประมุขรู้สึกปวดเศียรยิ่งนัก
เขาสงสัยอย่างยิ่งว่าอวิ๋นเฟยจงใจ จงใจยั่วให้เขาโกรธเกรี้ยว และจงใจยืมมือของเขาทำลายครอบครัวฝ่ายมารดาของนาง
ช่างเป็นสตรีที่ร้ายกาจยิ่งนัก!
“เจ้าไม่ดูฮองเฮาเป็นเยี่ยงอย่าง เลิกสร้างความวุ่นวายให้ข้าสักทีได้หรือไม่?”
องค์ประมุขไม่แม้แต่ถามว่านางทำไปเพื่ออะไร เพราะมันไม่จำเป็น เขาพบเจอเรื่องประหลาดใจจนชินชาเสียแล้ว นางเป็นคนอารมณ์ร้ายที่กลัวว่าโลกจะไม่วุ่นวาย หากนางสงบเสงี่ยมศึกษาคุณธรรมคำสอนสตรีอยู่ในวังหลังได้ คงเป็นเรื่องประหลาดที่ยากจะเข้าใจ
อวิ๋นเฟยเองก็ไม่บอกเรื่องที่หนานกงหลีลักพาตัว เพราะอย่างไรเสีย ยามนี้หนานกงหลีก็ได้รับบาดเจ็บ และลูกน้องคนสนิทก็มาล้มตาย ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูเหมือนนางจะเป็นฝ่ายลักพาตัวหนานกงหลีเสียมากกว่า
แม้ว่านางไม่มีความสามารถในเรื่องนี้ แต่คนที่มีความสามารถ คือคนที่นางต้องการปกป้อง
การตั้งคำถามที่ไม่ต้องแยกแยะถูกผิดขององค์ประมุข เมื่อหลายปีก่อนอาจสามารถทิ่มแทงหัวใจนาง แต่ยามนี้ไม่ใช่อีกต่อไป นางแค่คิดว่าเขาผายลมแล้วเดินจากไปเท่านั้น
แตงกวาขนาดใหญ่สองชิ้นถูกวางอยู่บนเปลือกตา นางนอนเอนกายบนเก้าอี้หวายโดยไม่หยิบมันออก ท่าทีเอื่อยเฉื่อยไม่สนใจผู้คน
องค์ประมุขกริ้วโกรธนางจนปวดฟัน “อวิ๋นเฟย! เจ้ายังหลงเหลือความเป็นภรรยาข้าอยู่หรือไม่!”
อวิ๋นเฟยเอ่ยอย่างไม่ทุกข์ร้อน “อ้อ ที่แท้ฝ่าบาทก็ยังจำได้ว่าหม่อมฉันเป็นภรรยาของพระองค์ หม่อมฉันคิดว่าในใจของฝ่าบาทมีเพียงฮองเฮาผู้เดียว ลืมเลือนหม่อมฉันไปหมดสิ้น ฝ่าบาทก็คิดเสียว่าหม่อมฉันได้ตายไปแล้วเถิด ต่อไปตำหนักจูเชวี่ยท่านก็ไม่จำเป็นต้องมาอีก ในเมื่อยามหนุ่มท่านไม่มา ยามนี้แก่เสียแล้ว ถึงมาก็ไม่มีประโยชน์อันใด”
ไม่..ไม่มีประโยชน์? !
พระพักตร์ขององค์ประมุขเป็นสีเขียวด้วยโทสะ
อวิ๋นเฟยหยิบแตงกวาฝานบนเปลือกตาออก พลันลืมตามองกายท่อนล่างขององค์ประมุข “หือ? ยังใช้อยู่หรือ?”
พระพักตร์ขององค์ประมุขเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีแดง ความโกรธเคืองแทบจะระเบิดออกมา “เสิ่นอวิ๋น!!!”
เมื่อฮองเฮาเพิ่งเสด็จถึงหน้าประตูตำหนักจูเชวี่ย ได้ยินน้ำเสียงเจือโทสะขององค์ประมุข ก็ถึงกับตกตะลึง หากว่ากันอย่างเคร่งครัดแล้ว องค์ประมุขไม่ใช่คนที่โกรธง่าย ไม่เช่นนั้นคงไม่ถูกขนานนามว่าเป็นเสือหน้ายิ้ม แค่มีเพียงอวิ๋นเฟยที่สามารถดึงโทสะทั้งหมดในจิตใจของเขาออกมาได้ เขาดูเหมือนมีความโกรธที่ไม่สิ้นสุดต่ออวิ๋นเฟยตลอดเวลา
มีอันใดน่าโกรธ? ก็แค่สตรีบ้าบอคนหนึ่ง เป็นถึงองค์ประมุขแห่งแว่นแคว้น อดทนต่อความโกลาหลวุ่นวายในราชสำนักได้ แต่กลับไม่อาจทนนางสนมจอมวายร้ายเพียงคนเดียว?
ฮองเฮาไม่ต้องการให้องค์ประมุขสนใจอวิ๋นเฟย แม้แต่ด้านที่น่าเกลียดที่สุดก็ตาม
ฮองเฮารวบรวมสติ สูดหายใจเข้าก่อนจะเดินเข้าไปอย่างสงบเยือกเย็น ตลอดทางคนในวังต่างร้องคารวะ นางโบกมือให้ถอยออกไป
นางย่างกรายเข้ามาอย่างสง่างาม มององค์ประมุขที่แทบคลั่ง จากนั้นก็มองอวิ๋นเฟยที่วางท่าทีไม่รู้ร้อนรู้หนาว คิ้วพลันขมวดมุ่น “อวิ๋นเฟย ฝ่าบาทเสด็จมา เจ้าไม่คารวะ แล้วยังวางท่าถือดีเช่นนี้ เหมาะสมแล้วหรือ?”
อวิ๋นเฟยส่งเสียงชิชะ แล้ววางแตงกวาฝานลงบนเปลือกตา “ฮองเฮามาก็ดีแล้ว รีบพาบุรุษของท่านกลับไปเถิด ตำหนักจูเชวี่ยของหม่อมฉันไม่อาจรองรับพระพุทธรูปองค์ใหญ่ทั้งสองพระองค์”
ฮองเฮาตรัสอีกครั้ง “อวิ๋นเฟย เจ้ารู้หรือไม่ว่าคืนนี้ที่เจ้าหายตัวไป ทำให้องค์ประมุขกับข้าเป็นกังวลยิ่งนัก?”
อวิ๋นเฟยเย้ยหยัน “กังวลอันใด? กังวลว่าจะไม่มีผู้ใดรังแกพวกท่านทั้งสองอีก? หรือไม่มีผู้ใดช่วยขับภาพลักษณ์อันอ่อนโยนทรงคุณธรรมให้ฮองเฮา?”
องค์ประมุขตรัสอย่างเย็นชา “เจ้ากล่าววาจาเช่นนี้กับฮองเฮาได้เยี่ยงไร? อย่าคิดว่าข้าแต่งตั้งให้เจ้าเป็นกุ้ยเฟย แล้วจะไม่เห็นฮองเฮาอยู่ในสายตา เชื่อหรือไม่ว่าข้า…”
อวิ๋นเฟยขัดคำพูดของเขาอย่างเฉยเมย “ถอดตำแหน่ง ปลดจากเฟยให้เป็นไฉเหริน หม่อมฉันรู้ดี ฝ่าบาทรีบรับสั่งมาเถิด”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]