หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3] นิยาย บท 329

คืนที่อวิ๋นเฟยหายตัวไป พายุคลื่นใหญ่พัดกระพือไปทั่ววังหลัง นางไม่ได้ก่อเรื่องมาเพียงครั้งหรือสองครั้ง แต่เพราะก่อนหน้านี้นางไม่ได้รับความโปรดปราน ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจ รวมถึงไม่มีผู้ใดจับจุดอ่อนของนางเช่นกัน เรื่องราวยิ่งใหญ่เกินจะเอาอดีตมาเปรียบเทียบ ตี้จีองค์เล็กถูกลดขั้น ตี้จีองค์โตยิ่งมีชื่อเสียงในหมู่ประชาชนขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ผู้คนในวังก็ยังเริ่มให้ความสำคัญกับนางมากขึ้น

เมื่อมีผู้ที่มองนางสำคัญ แน่นอนว่าต้องมีผู้ที่ไม่พึงใจนางเช่นกัน แต่ไม่ว่าผู้คนในวังจะมีความคิดแบบใด หนึ่งคืนผ่านไป ก็ยังไม่มีผู้ใดพบเห็นเงาของอวิ๋นเฟย

“คงมิใช่ว่านางกระโดดทะเลสาบฆ่าตัวตายไปแล้ว?”

“จะเป็นไปได้อย่างไร? ข้าว่านางน่าจะกระโดดบ่อน้ำเสียมากกว่า”

“บุตรสาวของนางกำลังจะถูกยอมรับกลับมาแล้วแท้ๆ ไยนางกลับมาคิดสั้นเช่นนี้?”

“นั่นปะไร…”

อวิ๋นเฟยที่อยู่บนทางเดินด้านนอกกำแพงวังได้ยินเข้าโดยบังเอิญ “…”

ข้ายังไม่ตาย! ! !

วังหลวงมีสี่ประตูแปดเส้นทาง อวิ๋นเฟยเดินไปประตูทางทิศเหนือซึ่งใกล้กับนางมากที่สุด ทหารองครักษ์ที่ประตูทางทิศเหนือเตรียมพร้อมเฝ้าระวังกันอย่างแข็งขัน เดินอีกเพียงสิบกว่าก้าว ซ้ายมือก็จะเป็นประตูทิศเหนือแล้ว

ลูกตาดำกลิ้งกลอกไปมา เมื่อห่างจากประตูทิศเหนือเพียงสองก้าว จู่ๆ นางก็หยุดแล้วหมุนตัววิ่งกลับไป กระโดดโลดเต้นพลางร้องตะโกนว่า “ฮ่าๆ! ออกมาแล้ว! ออกมาแล้ว!”

ทหารองครักษ์สองนายที่เฝ้าประตูต่างก็ตกอกตกใจ เกิดอันใดขึ้น? ผู้ใดออกมา?

ทหารองครักษ์มองเข้าไปในวังอย่างยากที่จะเชื่อได้ จากนั้นก็เดินออกไปและมองทางขวา พลันเห็นอวิ๋นเฟยที่กำลังวิ่งมาข้างหน้าอย่างมีความสุข

ทั้งสองตกใจจนเหงื่อเย็นผุดพราย!

พบเรื่องประหลาดกลางวันแสกๆ เขาสองคนยืนเฝ้ายามอยู่ดีๆ เหตุใดอวิ๋นเฟยวิ่งออกมาต่อหน้าพวกเขา?

ทั้งสองไม่เข้าใจว่าเรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แต่สิ่งที่แน่นอนก็คือพวกเขาไม่อาจปล่อยให้อวิ๋นเฟยหนีออกจากวังไปเช่นนี้ได้ ไม่เช่นนั้นหากองค์ประมุขไต่ถาม พวกเขาคงถูกลงโทษฐานละเลยหน้าที่!

ทั้งสองไม่สนใจสิ่งอื่นใด รีบร้อนจับอวิ๋นเฟยกลับไป

ข่าวการพบตัวอวิ๋นเฟยแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็วจนถึงพระกรรณขององค์ประมุข

องค์ประมุขกำลังเสวยพระกระยาหารกับฮองเฮาในวังหลวง เมื่อได้ยินว่าอวิ๋นเฟยเกือบหนีออกจากวังไปได้ องค์ประมุขพลันทิ้งตะเกียบในมือลงด้วยแรงโทสะ ลุกขึ้นเสด็จไปตำหนักจูเชวี่ยจูเชวี่ยในทันที

“นำไปเก็บเถิด” ฮองเฮาตรัสน้ำเสียงเนือยนิ่ง

“เพคะ” ข้ารับใช้เก็บอาหารที่ยังกินไปหมดออกไป

องค์ประมุขแบกพระพักตร์เขียวคล้ำด้วยความโกรธมุ่งหน้าไปยังตำหนักของอวิ๋นเฟย

ในเวลานี้อวิ๋นเฟยกำลังนอนเอนกายบนเก้าอี้หวายในลานกว้าง สั่งให้นางกำนัลหั่นแตงกวาสองสามแว่นมาวางบนใบหน้าเพื่อบำรุงผิว ขณะที่โยกเก้าอี้ไปพลาง ก็อาบแดดอย่างสบายๆ โดยไม่มีทีท่าตระหนักว่าตนถูกจับตัวแม้แต่น้อย

องค์ประมุขย่างกรายเข้ามาในลานของนาง

“ฝ่าบาท!” ข้ารับใช้ในลานที่เห็นเขาเดินเข้ามาต่างพากันหวาดผวา รีบคุกเข่าลงอย่างพร้อมเพรียง

“ออกไปให้หมด!” องค์ประมุขตรัสด้วยน้ำเสียงอันเย็นเยียบ

เหล่าข้ารับใช้มองหน้ากันไปมาด้วยความหวาดกลัวและมองไปที่อวิ๋นเฟยโดยไม่ได้นัดหมาย จากนั้นก็เดินตัวสั่นงันงกออกไป

องค์ประมุขนับว่าเป็นคนอารมณ์ดี แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดยามอยู่ต่อหน้าอวิ๋นเฟย เขาจึงไม่อาจควบคุมโทสะในใจได้ หากเป็นคนธรรมดาแอบหนีออกจากวังแล้วถูกจับได้ คงหวาดกลัวจนรีบลงไปคุกเข่า ไหนเลยจะเหมือนนาง ทำราวกับเป็นบรรพบุรุษของตระกูล!

ไม่สิ คนธรรมดาที่ใดจะหนีออกจากวังได้?

บรรดาสนมนางในของบุตรแห่งสวรรค์ การแขวนคอตายและหนีออกจากวังล้วนเป็นอาญาใหญ่หลวงถึงขั้นค้นเรือนยึดทรัพย์ประหารทั้งโคตร!

แต่ราวกับว่าองค์ประมุขมองเห็นปฏิกิริยาตอบกลับของอวิ๋นเฟย เมื่อตนเองกล่าวประโยคนี้ออกไป

‘ยึดๆๆ! ยึดเลย! ยึดหมาลูกแหง่พวกนั้นอย่าให้เหลือ!’

ความเป็นไปได้ที่ปรากฏขึ้นในจิตใจ ชวนให้องค์ประมุขรู้สึกปวดเศียรยิ่งนัก

เขาสงสัยอย่างยิ่งว่าอวิ๋นเฟยจงใจ จงใจยั่วให้เขาโกรธเกรี้ยว และจงใจยืมมือของเขาทำลายครอบครัวฝ่ายมารดาของนาง

ช่างเป็นสตรีที่ร้ายกาจยิ่งนัก!

“เจ้าไม่ดูฮองเฮาเป็นเยี่ยงอย่าง เลิกสร้างความวุ่นวายให้ข้าสักทีได้หรือไม่?”

องค์ประมุขไม่แม้แต่ถามว่านางทำไปเพื่ออะไร เพราะมันไม่จำเป็น เขาพบเจอเรื่องประหลาดใจจนชินชาเสียแล้ว นางเป็นคนอารมณ์ร้ายที่กลัวว่าโลกจะไม่วุ่นวาย หากนางสงบเสงี่ยมศึกษาคุณธรรมคำสอนสตรีอยู่ในวังหลังได้ คงเป็นเรื่องประหลาดที่ยากจะเข้าใจ

อวิ๋นเฟยเองก็ไม่บอกเรื่องที่หนานกงหลีลักพาตัว เพราะอย่างไรเสีย ยามนี้หนานกงหลีก็ได้รับบาดเจ็บ และลูกน้องคนสนิทก็มาล้มตาย ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูเหมือนนางจะเป็นฝ่ายลักพาตัวหนานกงหลีเสียมากกว่า

แม้ว่านางไม่มีความสามารถในเรื่องนี้ แต่คนที่มีความสามารถ คือคนที่นางต้องการปกป้อง

การตั้งคำถามที่ไม่ต้องแยกแยะถูกผิดขององค์ประมุข เมื่อหลายปีก่อนอาจสามารถทิ่มแทงหัวใจนาง แต่ยามนี้ไม่ใช่อีกต่อไป นางแค่คิดว่าเขาผายลมแล้วเดินจากไปเท่านั้น

แตงกวาขนาดใหญ่สองชิ้นถูกวางอยู่บนเปลือกตา นางนอนเอนกายบนเก้าอี้หวายโดยไม่หยิบมันออก ท่าทีเอื่อยเฉื่อยไม่สนใจผู้คน

องค์ประมุขกริ้วโกรธนางจนปวดฟัน “อวิ๋นเฟย! เจ้ายังหลงเหลือความเป็นภรรยาข้าอยู่หรือไม่!”

อวิ๋นเฟยเอ่ยอย่างไม่ทุกข์ร้อน “อ้อ ที่แท้ฝ่าบาทก็ยังจำได้ว่าหม่อมฉันเป็นภรรยาของพระองค์ หม่อมฉันคิดว่าในใจของฝ่าบาทมีเพียงฮองเฮาผู้เดียว ลืมเลือนหม่อมฉันไปหมดสิ้น ฝ่าบาทก็คิดเสียว่าหม่อมฉันได้ตายไปแล้วเถิด ต่อไปตำหนักจูเชวี่ยท่านก็ไม่จำเป็นต้องมาอีก ในเมื่อยามหนุ่มท่านไม่มา ยามนี้แก่เสียแล้ว ถึงมาก็ไม่มีประโยชน์อันใด”

ไม่..ไม่มีประโยชน์? !

พระพักตร์ขององค์ประมุขเป็นสีเขียวด้วยโทสะ

อวิ๋นเฟยหยิบแตงกวาฝานบนเปลือกตาออก พลันลืมตามองกายท่อนล่างขององค์ประมุข “หือ? ยังใช้อยู่หรือ?”

พระพักตร์ขององค์ประมุขเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีแดง ความโกรธเคืองแทบจะระเบิดออกมา “เสิ่นอวิ๋น!!!”

เมื่อฮองเฮาเพิ่งเสด็จถึงหน้าประตูตำหนักจูเชวี่ย ได้ยินน้ำเสียงเจือโทสะขององค์ประมุข ก็ถึงกับตกตะลึง หากว่ากันอย่างเคร่งครัดแล้ว องค์ประมุขไม่ใช่คนที่โกรธง่าย ไม่เช่นนั้นคงไม่ถูกขนานนามว่าเป็นเสือหน้ายิ้ม แค่มีเพียงอวิ๋นเฟยที่สามารถดึงโทสะทั้งหมดในจิตใจของเขาออกมาได้ เขาดูเหมือนมีความโกรธที่ไม่สิ้นสุดต่ออวิ๋นเฟยตลอดเวลา

มีอันใดน่าโกรธ? ก็แค่สตรีบ้าบอคนหนึ่ง เป็นถึงองค์ประมุขแห่งแว่นแคว้น อดทนต่อความโกลาหลวุ่นวายในราชสำนักได้ แต่กลับไม่อาจทนนางสนมจอมวายร้ายเพียงคนเดียว?

ฮองเฮาไม่ต้องการให้องค์ประมุขสนใจอวิ๋นเฟย แม้แต่ด้านที่น่าเกลียดที่สุดก็ตาม

ฮองเฮารวบรวมสติ สูดหายใจเข้าก่อนจะเดินเข้าไปอย่างสงบเยือกเย็น ตลอดทางคนในวังต่างร้องคารวะ นางโบกมือให้ถอยออกไป

นางย่างกรายเข้ามาอย่างสง่างาม มององค์ประมุขที่แทบคลั่ง จากนั้นก็มองอวิ๋นเฟยที่วางท่าทีไม่รู้ร้อนรู้หนาว คิ้วพลันขมวดมุ่น “อวิ๋นเฟย ฝ่าบาทเสด็จมา เจ้าไม่คารวะ แล้วยังวางท่าถือดีเช่นนี้ เหมาะสมแล้วหรือ?”

อวิ๋นเฟยส่งเสียงชิชะ แล้ววางแตงกวาฝานลงบนเปลือกตา “ฮองเฮามาก็ดีแล้ว รีบพาบุรุษของท่านกลับไปเถิด ตำหนักจูเชวี่ยของหม่อมฉันไม่อาจรองรับพระพุทธรูปองค์ใหญ่ทั้งสองพระองค์”

ฮองเฮาตรัสอีกครั้ง “อวิ๋นเฟย เจ้ารู้หรือไม่ว่าคืนนี้ที่เจ้าหายตัวไป ทำให้องค์ประมุขกับข้าเป็นกังวลยิ่งนัก?”

อวิ๋นเฟยเย้ยหยัน “กังวลอันใด? กังวลว่าจะไม่มีผู้ใดรังแกพวกท่านทั้งสองอีก? หรือไม่มีผู้ใดช่วยขับภาพลักษณ์อันอ่อนโยนทรงคุณธรรมให้ฮองเฮา?”

องค์ประมุขตรัสอย่างเย็นชา “เจ้ากล่าววาจาเช่นนี้กับฮองเฮาได้เยี่ยงไร? อย่าคิดว่าข้าแต่งตั้งให้เจ้าเป็นกุ้ยเฟย แล้วจะไม่เห็นฮองเฮาอยู่ในสายตา เชื่อหรือไม่ว่าข้า…”

อวิ๋นเฟยขัดคำพูดของเขาอย่างเฉยเมย “ถอดตำแหน่ง ปลดจากเฟยให้เป็นไฉเหริน หม่อมฉันรู้ดี ฝ่าบาทรีบรับสั่งมาเถิด”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]