หลักฐาน?
อวิ๋นเฟยจะเอาหลักฐานมาจากที่ใด?
หากอวิ๋นเฟยมีหลักฐาน มีหรือจะไม่นำไปจัดการดอกปทุมขาวนั่นเสียแต่แรก
แต่คิดดูอีกที จากความไว้ใจขององค์ประมุขที่มีต่อฮองเฮาจันทร์ขาวสว่าง หากนางนำหลักฐานไปแสดง ก็มีแต่จะคิดว่ามันถูกสร้างขึ้นเท่านั้น
“เหตุใดจู่ๆ ฝ่าบาทถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมาละเพคะ? หรือว่าในที่สุดฝ่าบาทก็เริ่มสงสัยในตัวฮองเฮาของพระองค์? ช่างเป็นเรื่องที่หายากยิ่งนัก” อวิ๋นเฟยประชดประชัน
แน่นอน นางทราบเรื่องที่ฮองเฮาถูกกู่ทำให้สารภาพผิดออกมาโดยไม่ต้องบังคับ แต่แล้วอย่างไร? ความรู้สึกขององค์ประมุขที่มีต่อฮองเฮา เพียงฮองเฮาเอ่ยแก้ต่างไม่กี่คำก็รอดตัวแล้ว อวิ๋นเฟยไม่มีทางเชื่อว่าองค์ประมุขจะนึกสงสัยในตัวฮองเฮา เพราะฮองเฮาเสียกริยาเพียงครั้งเดียว
ช่วยไม่ได้ องค์ประมุขในความคิดของอวิ๋นเฟยไม่เหลือซึ่งสมองอีกแล้ว
“หากเจ้าไม่มีหลักฐาน เช่นนั้นก็คิดเสียว่าวันนี้ข้าไม่ได้มา” องค์ประมุขตรัสอย่างเฉยเมย กลับหลังหัน เดินจากไป
มาตรวจสอบหลักฐานจริงๆ สินะ…
อวิ๋นเฟยกลอกตา หยุดไกวชิงช้า ลุกขึ้นหันหลังเอ่ยรั้งองค์ประมุขไว้ “ข้ามีหลักฐาน เพียงแต่หากข้าพูดไป ฝ่าบาทก็ไม่มีทางเชื่อ”
องค์ประมุขชะงักเท้า หันมองนางด้วยแววตาเคร่งขรึม
“ข้าได้ยิน” อวิ๋นเฟยเอ่ย “ข้าได้ยินฮองเฮาตรัสกับราชครูว่า ‘ยามนั้นท่านอาจารย์พยายามสุดความสามารถ ฮองเฮาอย่าได้ทรงทำให้ชายชราเช่นเขาต้องผิดหวัง’”
“นี่น่ะหรือ?” องค์ประมุขมุ่นพระขนง
อวิ๋นเฟยเอ่ย “ใช่ แต่นี่ก็เพียงพอที่จะบอกได้แล้วว่าฮองเฮาร่วมมือกับราชครูไม่ใช่หรือเพคะ? หม่อมฉันไปถึงช้าเกินไป ได้ยินที่อุทยานอวี้ฮัวเพียงครึ่งเดียว แต่มีคนได้ยินมากกว่าหม่อมฉัน อาจจะถามอะไรได้”
องค์ประมุขมองนางอย่างไม่เข้าใจ “หมายความว่าอย่างไร?”
อวิ๋นเฟยทอดถอนใจ “เอ่อ คงต้องเริ่มเล่าจากเมื่อสองสามปีก่อน มีขุนนางผู้หนึ่งเดินเที่ยวชมไปจนถึงอุทยานอวี้ฮัวเก่าโดยไม่ตั้งใจ”
ในวังหลวงมีอุทยานอวี้ฮัวอยู่สองแห่ง แห่งหนึ่งถูกคนบูรณะขึ้นยามที่องค์ประมุขขึ้นครองบัลลังก์ หลังจากนั้น มีนางข้าหลวงสองคนตกลงไปตายที่นั่น ฮองเฮาไม่โปรดปรานเคราะห์ร้าย สั่งให้คนไปหาพื้นที่ว่าง สร้างอุทยานแห่งใหม่ขึ้นมา
ส่วนแห่งเก่าเพราะทำให้เกิดคนตาย จึงมีคนน้อยนักที่จะเดินไปถึงตรงนั้น ไม่นานสถานที่นั้นก็ค่อยๆ ร้างไป
อวิ๋นเฟยเป็นคนไม่กลัวตาย นางไม่เชื่อในสิ่งนี้ ทั้งยังรู้สึกว่าที่นั่นสะอาดและสุขสงบ จึงไปเดินเล่นที่นั่นเพื่อผ่อนคลายจิตใจเป็นครั้งคราว
เย็นวันนั้นนางไปเดินเล่นที่สวนเก่าตามปกติ เดินไปได้ครึ่งทางก็ได้ยินเสียงที่ลับๆ ล่อๆ ของฮองเฮา นางรีบหาต้นไม้ใหญ่หลบซ่อนตัว แอบมองไปทางนั้น และได้เห็นฮองเฮายืนอยู่กับราชครู
ท่าทีของพวกเขาทั้งสองดูสนิทคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขานัดพบกันเป็นการส่วนตัว
อวิ๋นเฟยไปถึงช้าเกินไป บทสนทนาอันแผ่วเบาของทั้งสองจบลงแล้ว อวิ๋นเฟยเห็นเพียงฮองเฮาขมวดคิ้วครุ่นคิดอะไรบางอย่าง หลังจากนั้นราชครูก็กล่าวประโยคที่เมื่อครู่อวิ๋นเฟยเอ่ยให้องค์ประมุขฟัง
ยามนั้นนางสับสนมึนงง เผลอเหยียบเศษใบไม้แห้งโดยไม่ระวัง ทันใดนั้นราชครูก็รู้สึกตัวแล้วตะโกนว่า “ใครน่ะ! ออกมา!”
อวิ๋นเฟยคิดว่าตนเองต้องตายแน่ ไหนเลยจะรู้ว่า ด้านหลังภูเขาปลอมอีกฝั่งนึง จู่ๆ ก็มีเงาคนเผยตัวออกมาแล้วหายตัวไปในอุทยานอวี้ฮัว
ราชครูบอกให้ฮองเฮากลับตำหนักไปก่อน ส่วนตนจะไปตามบุคคลลึกลับที่แอบฟังอยู่ที่มุมกำแพง
อวิ๋นเฟยทอดถอนใจ “คนผู้นั้นอาจไม่ทราบว่าหม่อมฉันก็อยู่ตรงนี้ คิดว่าราชครูพบตัวเขา จึงรีบหนีไป หากไม่ใช่เพราะเขาล่อราชครูออกไปอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เกรงว่าหม่อมฉันคงถูกราชครูปิดปากไปแล้ว”
องค์ประมุขขมวดคิ้ว เรื่องนี้ไม่เพียงแต่พัวพันกับราชครูคนเก่า กระทั่งราชครูคนใหม่ก็ยังไม่อาจโชคดีรอดพ้น เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?
เมื่อเห็นสีหน้าสับสนอลหม่านขององค์ประมุข อวิ๋นเฟยก็หัวเราะเยาะ “ฝ่าบาทจะไม่เชื่อคำพูดของหม่อมฉันก็ได้”
อย่างไรเสียหลายปีแล้ว ท่านก็ไม่เคยเชื่อ
องค์ประมุขกดหว่างคิ้วที่ปวดหนึบ ไม่ได้บอกว่าตนเองเชื่อหรือไม่เชื่อ “คนผู้นั้นมีรูปลักษณ์เป็นอย่างไร เจ้ามองเห็นหรือไม่?”
อวิ๋นเฟยส่ายศีรษะ “เขาออกมาครู่เดียวก็หายตัวไปแล้ว แต่หม่อมฉันรู้สึกว่า เขาน่าจะเป็นบุรุษ”
สิ่งนี้ไม่มีหลักฐาน เพียงแต่เป็นสัญชาตญาณที่เกิดขึ้นหลังจากอยู่ในวังหลังมานานหลายปี นอกจากองค์ประมุข ในวันธรรมดานางไม่พบเห็นบุรุษ มีเพียงนางข้าหลวงกับขันทีเท่านั้น ดังนั้น เมื่อจู่ๆ มีบางอย่างที่แตกต่างไป นางจึงรู้สึกได้อย่างรวดเร็ว
เรื่องราวสืบมาถึงตรงนี้ก็เข้าสู่ทางตันอีกครั้ง ไม่ใช่ว่าคำพูดของอวิ๋นเฟยไม่เพียงพอที่จะเชื่อถือ แต่นางเพียงปากเดียว ไม่อาจสู้ฮองเฮากับองค์ประมุขสองปาก หากพวกเขาสองฝ่ายปฏิเสธและต่อต้านอวิ๋นเฟย นั่นก็เกินจะจินตนาการแล้ว
องค์ประมุขไม่ปรารถนาที่จะคาดเดาในสิ่งที่อันตรายเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นฮองเฮาก็ดี หรือราชครูก็ดี ล้วนเป็นคนที่เขาเคยไว้วางใจอย่างลึกซึ้ง
สายตาขององค์ประมุขตกกระทบใบหน้าของอวิ๋นเฟยอีกครั้ง
ระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันไม่นาน ราวกับผ่านไปแล้วครึ่งชีวิต ท่าทีของเขาที่มีต่ออวิ๋นเฟยก็เปลี่ยนไปอย่างยากจะจินตนาการ หากเมื่อก่อนนางพูดเช่นนี้ เขาคงไม่เชื่อคำพูดนางสักคำ ทว่าบัดนี้…
องค์ประมุขสูดหายใจและตรัสช้าๆ “เวลานี้ไม่เช้าแล้ว กุ้ยเฟยรีบพักผ่อนเถิด”
กุ้ยเฟย?
นี่เขาคืนตำแหน่งให้นางแล้วหรือ?
องค์ประมุขเพียงแค่พูดไปอย่างนั้น ทว่าคำพูดองค์ประมุขดุจหยกดุจทองคำ ตรัสแล้วไม่อาจคืนคำ
อวิ๋นเฟยเบิกตากลมโตมองเขา
ดวงตาเช่นนี้ ราวกับออกมาจากพวกไข่ดำน้อย
องค์ประมุขไม่อาจทานทนต่อสายตาเช่นนี้ได้เล็กน้อย พลันกระแอมและตรัสอย่างเคร่งขรึม “ข้าได้ยินว่าพวกเขาชอบกินส้มจากสวนผลไม้ หากกุ้ยเฟยไม่มีธุระใดก็ไปเก็บมาสักหน่อย ข้าจะให้คนนำไปส่งให้พวกเขา”
ไปที่สวนผลไม้ได้แล้ว กระทั่งกักบริเวณก็ถูกยกเลิกแล้ว?
อวิ๋นเฟยมีอายุจนถึงตอนนี้ ในที่สุดก็เริ่มสงสัยในชีวิตคน
“ฝ่าบาท”
“อันใดหรือ?”
อวิ๋นเฟยถูมือเล็ก “ท่านเสวยยาผิดไปหรือไม่?”
องค์ประมุข “….?!”
…..
ฮองเฮาลอบส่งคนไปเฝ้าดูการเคลื่อนไหวขององค์ประมุขตลอด จึงทราบว่าองค์ประมุขเสด็จไปที่ตำหนักจูเชวี่ยของอวิ๋นเฟยกลางดึก เขาไปทำอะไรที่ตำหนักจูเชวี่ย? ไม่ต้องบอกว่าอวิ๋นเฟยพักผ่อนแล้ว ต่อให้ยังไม่พักผ่อนก็ตาม หรือเขาต้องการกลับไปรื้อฟื้นความสัมพันธ์เก่ากับนาง?
ฮองเฮาเดินไปเดินมาอยู่ในตำหนัก
“ฮองเฮา” ขันทีเอ่ยเรียก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]