อวี๋หวั่นพาเด็กๆ ไปคำนับฮูหยินผู้เฒ่าที่จวนเห้อเหลียนและถูกฮูหยินผู้เฒ่าให้อยู่ค้างคืน รุ่งขึ้นยามฟ้าสางรีบออกเดินทางไปยังถนนซื่อสุ่ย รถม้าเคลื่อนมาจอดหน้าที่พักบนถนนซื่อสุ่ย ผ้าม่านถูกเปิดออก ไข่ดำอ้วนดุ๊กดิ๊กทั้งสามก็กระโดดลงมา
ภายในมือของทุกคนถือตะกร้าผลส้ม เดินเตาะแตะเข้าไปด้านใน
“อ๊ะ!” จื่อซูเพิ่งเก็บจานกลับเข้าห้องครัวเกือบจะชนกับทั้งสาม แม้ว่าทั้งสามจะอ้วนแต่ปฏิกิริยากลับไม่เชื่องช้า สามารถหลบได้ในพริบตาเดียว “สวัสดีพี่จื่อซู” เอ้อร์เป่าทักทายเสียงหวาน
สองพ่อลูกกำลังแข่งหมากล้อมกันในห้องหนังสือ เมื่อได้ยินเสียงเอ้อร์เป่า พลันวางหมากในมือลงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย เยี่ยนอ๋องไม่เพียงแต่เป็นหนอนหนังสือ ยังเป็นหนอนหมากล้อมด้วย หลายครั้งที่การเล่นหมากล้อมกระดานหนึ่งทำให้เขาไม่สนใจจะกินข้าวดื่มชาอยู่หลายวัน ทว่าต่อให้นำของที่โปรดปรานของเขามารวมกัน ก็ไม่สู้เด็กน้อยที่น่ารักน่าเอ็นดูเหล่านี้
หมากล้อมเยี่ยนอ๋องไม่เล่นแล้ว บุตรชายก็ไม่เอาแล้ว รีบแวบกายออกไป เร็วเสียยิ่งกว่าองครักษ์เงา!
“ท่านปู่ท่านปู่! ข้าคิดถึงท่านจะตายแล้ว!” เสี่ยวเป่าเป็นคนแรกที่มองเห็นเขา และรีบวิ่งเข้าไปอยู่ตรงหน้าเขา
“พวกเราไม่อยู่สองสามวันนี้ ท่านปู่ได้ทานอาหารอย่างดีหรือไม่? นอนหลับสบายหรือไม่?” เอ้อร์เป่าถามอย่างนุ่มนวลน่ารักและเอาใจใส่ ทำให้เสี่ยวเป่าที่หยาบคายตกอันดับไป
เสี่ยวเป่าจ้องมองเขาด้วยสายตาคับแค้น มือน้อยๆ กอดเยี่ยนอ๋อง ยึดครองอ้อมแขนของเยี่ยนอ๋อง ไม่ให้เอ้อร์เป่าได้กอด
เอ้อร์เป่าไม่ได้โกรธ เขาหันกลับไปมองเยี่ยนจิ่วเฉาที่กำลังเดินมาด้วยท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู แล้วพูดอย่างปากหวาน “ท่านพ่อ พวกเรากลับมาแล้ว”
เยี่ยนจิ่วเฉาส่งเสียงอืมตอบรับ ลูบหัวน้อยๆ ของเขากับต้าเป่า ดูตะกร้าใบเล็กที่พวกเขาถือเข้ามา “ใส่สิ่งใดมา?”
“ส้ม” เสี่ยวเป่าแย่งตอบ
เอ้อร์เป่าทำหน้าตาน่ารัก “ส้มเขียวหวานที่ท่านยายทวดให้มา ท่านยายทวดเก็บมาเองกับมือ”
พูดก่อนแล้วอย่างไร? แต่ก็ไม่ได้พูดงดงามเช่นเอ้อร์เป่า
เสี่ยวเป่ามองสีหน้าที่เผยให้เห็นถึงความชื่นชมของบิดา พลันคว่ำปากบึ้งด้วยความน้อยใจ
สองพ่อลูกรออวี๋หวั่นที่ประตูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเธอมาถึงจึงได้อุ้มเด็กๆ เข้าห้อง
อีกด้านหนึ่ง เซี่ยวเจิ้นถิงที่ได้ยินเสียงของเด็กๆ ก็รีบมุ่งหน้ามาด้วยท่าทีขึงขังราวกับเสือ เยี่ยนอ๋องกลอกตาใส่เขาสองสามครั้ง เขาถือเสียว่ามองไม่เห็น
“มาให้ตาเซียวมองเจ้าสักหน่อย ต้าเป่า” เซียวเจิ้นถิงยกต้าเป่าขึ้นมา
ต้าเป่ากะพริบตามองเขาด้วยดวงตากลมโต
เรื่องที่ต้าเป่าตกน้ำ สองสามีภรรยาไม่เคยเอ่ยออกจากปาก แต่เซียวเจิ้นถิงเป็นใครละ วรยุทธ์ของเขาสูงส่งการได้ยินเสียงดี อิ่งสือซันเดินทางไปมาหลายครั้งทำให้เขาพอจะคาดการณ์ได้ ดูจากหน้าตาเฉยเมยของต้าเป่าแล้ว น่าจะไม่เป็นไรมาก
สมกับเป็นบุตรของฉงเอ๋อร์ กล้าหาญเช่นนี้ไม่มีใครอีกแล้ว
เซียวเจิ้นถิงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ โยนต้าเป่าลอยขึ้นสูง
“อูว้า~” ต้าเป่าส่งเสียงร้องด้วยความตื่นเต้น
“ข้าอยากเล่นด้วย ข้าอยากเล่นด้วย!”
“เอ้อร์เป่าก็อยากเล่นด้วย!”
เด็กทั้งสองกอดต้นขาเซียวเจิ้นถิง อยากถูกอุ้มตัวชูขึ้นสูงๆ
เด็กๆ เล่นกันอย่างบ้าคลั่งพักหนึ่ง เสียงหัวเราะหมูดังขึ้นติดต่อกัน
หลังจากสนุกสนานแล้ว พวกเขาก็ไม่ลืมที่จะแบ่งปันส้มเขียวหวานที่นำมาจากวังให้กับครอบครัวของพวกเขา
“นี่คุณยายทวดเก็บมาเองกับมือ พวกท่านต้องค่อยๆ กินละ” เอ้อร์เป่าพูด
หลังจากให้ทางนี้แล้ว เด็กๆ ก็ถือตะกร้าใบเล็กไปยังห้องของซั่งกวนเยี่ยน ทว่าซั่งกวนเยี่ยนไม่เพียงแต่ได้รับส้มเขียวหวาน ยังได้ดอกไม้เล็กๆ ที่เก็บมาจากวังหลวงอีกสองสามดอก
ดอกไม้นั้นมอบให้กับน้องสาวที่อยู่ในท้องของซั่งกวนเยี่ยน
“เป็นท่านอา” ซั่งกวนเยี่ยนกล่าวแก้ไข
“น้องสาว” เสี่ยวเป่าพูด
เด็กกว่าพวกเราก็ต้องไปน้องสาวสิ!
จุดจุดจุดในครรภ์ได้ดูเสี่ยวดีดี[1] ของตัวเอง ทันใดนั้นก็เริ่มสงสัยในการเกิดของตนเองขึ้นมาเล็กน้อย
ในครอบครัวหนึ่งจะมีเด็กๆ หรือไม่มีนั้นแตกต่างกันอย่างมาก ที่พักของเยี่ยนอ๋องกับเซียวเจิ้นถิงวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง ไข่ดำทั้งสามกลับมาเที่ยวเล่น ลานกว้างเต็มไปด้วยเสียงเล็กๆ ของพวกเขา
ดวงตาที่โศกเศร้าเป็นเวลาหลายวันของเยี่ยนอ๋องค่อยๆ กลับมามีประกายแห่งรอยยิ้มอีกครั้ง
ช่วงสองสามวันนี้ที่เด็กๆ ไม่อยู่ ความอยากอาหารของเขาก็ลดน้อยลงมาก บัดนี้เห็นแววตาของเขาเต็มไปด้วยความสุข จื่อซูส่งสายตาให้ฝูหลิง ทั้งสองเข้าครัวทำบะหมี่เนื้อแพะสองสามชามยกออกมา
ทันทีที่เด็กน้อยได้กลิ่นเนื้อ ท้องเล็กๆ ก็ส่งเสียงร้อง
“เยี่ยนอ๋อง ทานเป็นเพื่อนคุณชายน้อยสักหน่อยเถอะเจ้าค่ะ” จื่อซูกล่าว
เยี่ยนอ๋องพยักหน้า นั่งลงข้างโต๊ะหินกลางแจ้ง เด็กทั้งสามปีนขึ้นบนเก้าอี้หิน มือน้อยๆ ถือตะเกียบ มองเยี่ยนอ๋องตาไม่กะพริบ
เยี่ยนอ๋องใช้ตะเกียบคีบกินคำแรก พวกเขาจึงเริ่มกิน
เด็กสามผู้ใหญ่หนึ่งกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย
อวี๋หวั่นยืนอยู่ที่หน้าต่าง ถอนสายตาที่มองพวกเขาทั้งสี่ หันกลับมาด้วยรอยยิ้ม เยี่ยนจิ่วเฉากำลังต่อสู้กับยาของตัวเอง ไม่นานมานี้เขาเริ่มกลายเป็นคนที่ดื่มยายาก อวี๋หวั่นคิดหาวิธี นำน้ำแกงมาต้มเป็นยา ใช้น้ำช่วยให้กลืนลงคอ
เช้าเย็นอย่างละครั้ง ครั้งหนึ่งยี่สิบเม็ด แต่เม็ดหนึ่งขนาดพอๆ กับเมล็ดข้าว คนธรรมดาสามารถกลืนลงไปได้ภายในครั้งเดียว แต่เยี่ยนจิ่วเฉากลับค่อยๆ กลืนทีละเม็ด
อวี๋หวั่นมองท่าทีที่จริงจังและเงอะงะของเขา ก็อดไม่ได้ที่จะกุมหน้าผากของตัวเอง
ท่านเป็นเด็กหรืออย่างไร?
เด็กยังกินยาง่ายกว่าท่านเสียอีก
อวี๋หวั่นหัวเราะเบาๆ
เมื่อนึกบางอย่างขึ้นได้ สีหน้าของอวี๋หวั่นก็กลับกลายเป็นจริงจัง “พวกเราออกมาแบบนี้ ท่านยายคงไม่เกิดเรื่องกระมัง? ฮองเฮาจะทำให้นางลำบากหรือไม่?”
เยี่ยนจิ่วเฉาถอดชุดท่อนบนออก “นางยังเอาตัวไม่รอด ไม่มีเวลาไปทำให้ท่านยายลำบากหรอก”
อวี๋หวั่นมองเขาอย่างงวยงง “ท่าน…ทำอะไร เหตุใดถึงบอกว่าฮองเฮาจะเอาตัวไม่รอด?”
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวอย่างเฉยเมย “องค์ประมุขสืบถึงตัวนางถานแล้ว บัญชีเก่าในยามนั้นจะถูกพลิก เปิดทีละเรื่อง”
ยามพลบค่ำตะวันใกล้ลับ เส้นขอบฟ้าสีแดงดั่งเลือด นางถานใช้ไม้หาบยกน้ำสองถัง เดินกลับอารามด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เพียงเข้าประตูอารามไป แม่ชีน้อยก็เริ่มตำหนิ “ไยไปนานเช่นนี้? ไม่ใช่บอกให้เจ้าไปตักน้ำมารึ? คงไม่ได้หนีไปอู้อีกกระมัง? ข้ารอน้ำของเจ้ามาหุงข้าวอยู่นะ!”
นางถานไม่ได้โต้เถียงอะไร นำถังมาเทน้ำใส่โอ่งเงียบๆ มือข้างหนึ่งจับถัง อีกข้างหนึ่งจับก้นถัง เทน้ำที่ตักมาใส่เข้าไป
แม่ชีน้อยฮึดฮัด “ข้าไม่สน ทั้งหมดก็เป็นเพราะเจ้า ข้ารอเจ้านานขนาดนี้ยังไม่มีน้ำหุงข้าว ยามนี้ข้าต้องไปทำวัตรเย็น เจ้าก็มาก่อไฟหุงข้าว!”
“ข้าไม่หุง” นางถานกล่าว “แบกน้ำเป็นข้า หุงข้าวเป็นเจ้า”
“เจ้า!” แม่ชีน้อยสำลัก
นางถานพูดอย่างเฉยเมย “เจ้าอยากจะทำหรือไม่ทำ หากไม่ทำก็ทนหิวไป”
“เจ้า…เจ้าแอบกินอะไรมาระหว่างทางใช่หรือไม่?” แม่ชีน้อยดึงแขนนางถาน
นางถานพูด “ข้าเปล่า ข้าแค่อายุมากแล้ว ทนหิวได้มากกว่าเจ้า”
สิ้นเสียง นางถานก็ดึงแขนกลับ ไม่สนใจนาง หันไปหยิบน้ำถังที่สอง
แม่ชีน้อยกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “เจ้าต้องกินมาแล้วแน่ๆ! เจ้าแอบนำของออกไปกินด้านนอก! แล้วยังจงใจไม่ตักน้ำมาให้ข้าหุงข้าว! อีกประเดี๋ยวหากท่านอาจารย์กลับมา ข้าจะบอกนาง!”
“ตามใจเจ้า” นางถานพูด
นางถานเทน้ำถังที่สองใส่โอ่ง
น้ำสองถังไม่พอใช้ ตอนกลางคืนยังต้องล้างหน้า ตอนเช้าก็ยังต้องทำอาหาร นางถานยังต้องแบกน้ำอีกสองสามรอบ
นางถานนำถังไม้ใส่บนไม้หาบ กำลังจะเดินออกไปด้านนอก คาดไม่ถึงว่าทันทีที่เปิดประตูไม้ของอารามออก ก็เห็นองครักษ์ร่างสูงใหญ่หลายคน และบุรุษที่แต่งตัวเป็นขันทีอีกคนหนึ่ง
องครักษ์เหล่านี้สวมชุดเกราะของกองกำลังรักษาพระองค์ และขันทีผู้นั้น…
ตอนที่นางถานยังอยู่จวนเห้อเหลียน เคยติดตามเห้อเหลียนเป่ยหมิงเข้าวังหลวงอยู่หลายครั้ง จึงเคยพบคนดังที่อยู่ต่อหน้าองค์ประมุขท่านนี้มาก่อน
“ขันทีหวัง” นางทักทายด้วยความประหลาดใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]