เลือดที่ปลายนิ้วไม่ได้ออกมาก มีเพียงหยดเล็กๆ แต่นั่นก็เพียงพอจะทำให้อวี๋หวั่นสงสัย
ไม่ใช่ภาพลวงตาหรือ? ข้าถูกลูกปัดกัดแล้วเลือดออก?
ความจริงจะใช่กัดหรือไม่ เวลานี้อวี๋หวั่นก็ไม่แน่ใจนัก ความเจ็บปวดเล็กๆ เมื่อครู่นี้หายไปแล้ว เช่นเดียวกับคนที่สัมผัสของร้อนจัด ความรู้สึกแรกอาจไม่ได้ร้อน แต่เย็นเป็นน้ำแข็ง บางครั้งการรับรู้แรกของร่างกายมนุษย์ก็อาจผิดพลาด
อวี๋หวั่นไม่มีทางเชื่อว่าลูกปัดจะสามารถกัดคนได้ ดังนั้นอาจเป็นเพราะตนสัมผัสโดนพื้นผิวขรุขระไม่สม่ำเสมอ?
อวี๋หวั่นถือลูกปัดไว้ในมือและถูไปมาอีกครั้ง ไม่เห็นมีเลย ทั้งยังผิวเรียบลื่นมากอีกด้วย
หรือ…จะมีสัตว์พิษอยู่ในนั้น?
ไม่สิ เธอพกมันติดตัวตลอด หากมีสัตว์พิษ เธอกับสัตว์พิษตัวน้อยก็คงรู้นานแล้ว
อวี๋หวั่นมองราชันพันสัตว์พิษ “ใช่เจ้ากัดข้าหรือไม่?”
ราชันพันสัตว์พิษตกใจ!
ไม่ใช่ความผิดมันนะ!
เมื่อเห็นว่าลูกปัดทำให้อวี๋หวั่นบาดเจ็บ สัตว์พิษตัวน้อยก็อุ้มลูกปัดโยนลงพื้นด้วยความโกรธ!
จากนั้นก็เตะซ้ายทีขวาที ลูกปัดกลิ้งไปทั่วทั้งห้อง
ใช่ อวี๋หวั่นคิดว่ามันถูกสัตว์พิษตัวน้อยเตะกลิ้งไปมา แต่เมื่อสังเกตดูอีกครู่หนึ่ง อวี๋หวั่นก็รู้สึกว่ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะไม่ว่าเตะกี่ครั้ง เท้าของสัตว์พิษตัวน้อยก็ยังไม่สัมผัสถูกมัน แต่ลูกปัดนั้นก็ยังกลิ้งอยู่
นี่เพราะถูกดันจนกลิ้งกระมัง?
นอกจากกัดคนแล้ว มันยังกลิ้งเองได้อีก?
หือ!
สัตว์พิษตัวน้อยวิ่งเร็วปานลมกรดเตะถูกลูกปัดจนกระเด็นลอยขึ้น
ลูกปัดกระแทกเข้ากับผนัง กระดอนกลับมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่กลับไปที่หน้าสัตว์พิษตัวน้อย ทว่ากลับไปที่มือของอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นเพิ่งหยิบผ้าเช็ดหน้ามา หมายจะเช็ดเลือดที่ปลายนิ้ว แต่ลูกปัดก็ลอยมาปาดเลือดของเธอจนหายไป…
อวี๋หวั่น “…”
เวลานี้ดูเหมือนอวี๋หวั่นจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง เธอหยิบลูกปัดที่ตกลงบนเตียงกลับขึ้นมาและเห็นว่าลูกปัดซึ่งเดิมทีดูธรรมดามีแสงแวววาวออกมา
สิ่งที่ส่องแสงได้ อวี๋หวั่นเคยเห็นแต่ศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์ หรือสิ่งที่ดูเหมือนลูกปัดนี้ จริงๆ แล้วเป็นศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์?
อวี๋หวั่นทำให้ชี่จมสู่ตันเถียน (คิดเอาเอง) ปล่อยไอปราณสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังออกมา (คิดเอาเอง) “สีฟ้า!”
ลูกปัดไม่เปลี่ยนสี
“สีเขียว!”
ลูกปัดยังคงไม่เปลี่ยนสี
ไม่ได้ ในฐานะสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังที่สุดแห่งหมิงตู ผู้ซึ่งสามารถควบคุมศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าต้องการสีใด ศิลาก็จะเปลี่ยนเป็นสีนั้น แม้แต่สีทองที่ไม่เคยมีบันทึกไว้ในตำราก็ยังเปล่งแสงออกมาได้ ไม่มีเหตุผลที่ลูกปัดตรงหน้าจะไม่ตอบสนอง
“ไม่ใช่ศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์? แล้วเจ้าส่องแสงอันใด?”
ลูกปัดเปล่งประกายสดใสแวววาว แต่ก็ไม่ได้สว่างไสวเช่นไข่มุกราตรี อวี๋หวั่นไม่คิดว่ามันเป็นไข่มุกราตรี เพราะไข่มุกราตรีสามารถเปล่งประกายได้ตลอดเวลา แต่ไข่มุกเม็ดนี้กลับเปล่าประกายหลังจาก…ปาดหยดเลือดของเธอ?
หรือว่านี่คือ…ไข่มุกราตรีที่ใช้เลือดเพื่อส่องประกาย?
ต่อมา เรื่องที่น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่าก็เกิดขึ้น ขณะที่ลูกปัดส่องแสง ทารกในท้องของอวี๋หวั่นก็ขยับ
คล้ายว่าเธอรู้สึกถึงความตื่นเต้นของทารก
“เจ้าชอบลูกปัดเม็ดนี้หรือ?” อวี๋หวั่นก้มมองท้องใหญ่ของตน
ไม่สิ ข้าพกลูกปัดเม็ดนี้มาถึงหนึ่งปีแล้ว ก็ไม่เห็นจะตื่นเต้นอะไร
หรือเพราะมันส่องแสงได้?
ไม่นานแสงของลูกปัดก็หายไป
ท้องก็ไม่ขยับแล้ว
ไม่รู้เหตุใด อวี๋หวั่นรู้สึกว่าทารกในครรภ์ของเธอโศกเศร้าลง
อวี๋หวั่นเขย่าลูกปัด “จงเปล่งแสง!”
ลูกปัดไม่สว่างขึ้น
อวี๋หวั่นโยนลูกปัดให้สัตว์พิษตัวน้อย “เตะมัน!”
ไม่แน่ มันอาจเปล่งประกายเพราะถูกสัตว์พิษตัวน้อยเตะก็เป็นได้
สัตว์พิษตัวน้อยมีความสุขยิ่ง รับลูกปัดมาแล้วเตะมันออกไป!
ลูกปัดก็ยังไม่ส่องแสง!
“หรือว่าต้องใช้เลือดจริงๆ?” อวี๋หวั่นมองแผลตรงปลายนิ้วที่หายดีแล้ว เลือดหนึ่งหยดเมื่อครู่ถึงทำให้มันเปล่งประกายอยู่ครู่หนึ่ง หากจะทำให้มันเปล่งประกายตลอดไป ต้องใช้เลือดมากมายเพียงใดนะ?
ความจริงไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ถูกขโมยไปเกือบยี่สิบปีแล้ว ในเวลานั้นสตรีพิษยังไม่เกิด ไม่เคยเห็นหัวขโมยตัวจริง แต่ทั่วทั้งเผ่ามีรูปภาพของหัวขโมยติดอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นรูปใบหน้า รูปครึ่งตัว รูปเต็มตัว กระทั่งคนในเผ่าศักดิ์สิทธิ์อาจไม่รู้ว่าราชาของพวกตนมีหน้าตาเช่นไร ทว่ากลับรู้ว่าหัวขโมยผู้นั้นมีหน้าตาเช่นไร จนทั้งเผ่าแทบเกิดโกลาหล!
“ไม่ควรเป็นเช่นนั้นสิ…” ชายสวมชุดคลุมพึมพำ
ไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เป็นสมบัติล้ำค่าของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ แต่การใช้สมบัตินั้นมีสิ่งแลกเปลี่ยน จำเป็นต้องใช้เลือดของยอดฝีมือหล่อเลี้ยงจึงจะสามารถยืนยันประสิทธิผลของมัน ไม่เช่นนั้นมันก็ไม่ต่างอะไรจากลูกปัดธรรมดาๆ เม็ดหนึ่ง
จากมุมมองของชายสวมชุดคลุม คนผู้นั้นขโมยไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไปก็ต้องนำไปใช้ประโยชน์ หากไม่ใช้จะขโมยไปเพื่อสิ่งใด? เอาไว้ดูความสวยงามรึ?
คงไม่ได้ทำให้สูญค่าเปล่าประโยชน์เช่นนั้นกระมัง?
และถ้าหากต้องการใช้มัน ก็ต้องปล่อยเลือดของตน ผ่านมานานหลายปีเช่นนี้ หากไม่ตายก็ปาฏิหาริย์แล้ว ไฉนยังได้อ้วนท้วนสมบูรณ์?
หรือนางจะสังหารคนอื่น แล้วใช้เลือดของคนผู้นั้นหล่อเลี้ยง?
ไม่สิ ไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั่นพิถีพิถันช่างเลือก หากเป็นเลือดของคนธรรมดาทั่วไปไม่อยู่ในสายตามันเลยแม้แต่น้อย มีเพียงยอดฝีมือระดับพระกาฬเท่านั้นที่มีค่าพอจะบูชายันต์ให้มัน
ยอดฝีมือระดับนั้นมีมากมายหรือ? ในเผ่าศักดิ์สิทธิ์ยังพบเพียงไม่กี่คน นับประสาอะไรกับต้าโจวที่ไม่มีมรดกตกทอดมาแต่โบราณ
ขณะที่ชายสวมชุดคลุมครุ่นคิดอยู่นั้น จู่ๆ ก็สัมผัสได้ถึงไอปราณที่คุ้นเคย ความรู้สึกนั้นช่างแปลกประหลาดนัก ราวกับมีสายลมพัดผ่าน และราวกับมีเปลวไฟลุกโชน เลือดในกายเดือดพลุ่งพล่าน
ดวงตาของเขาเป็นประกาย “ไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์!”
สตรีพิษเองก็รู้สึกเลือดร้อนพลุ่งพล่าน นางเกิดมา ไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ถูกขโมยไปจากเผ่าแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกเช่นนี้
นี่คืออิทธิฤทธิ์ของไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์หรือ?
ชายสวมชุดคลุมเอ่ยอย่างตื่นเต้น “มีคนกำลังบูชายันต์แก่ไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์! นางปีศาจนั่น…นางปีศาจนั่นกำลังบูชายันต์แก่ไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์!”
…
“เช่นนี้จะได้หรือเจ้าคะ?” ผิงเอ๋อร์ถาม
อวี๋หวั่นมองชามเลือดที่นางยกเข้ามาและส่งเสียงอืม “ข้าคิดว่าควรจะได้ วางไว้ตรงนี้ ข้าใช้ชามนี้หมดแล้วค่อยใช้มัน”
ผิงเอ๋อร์วางชามลงบนโต๊ะ
ตรงหน้าอวี๋หวั่นมีชามเลือดไก่ชามหนึ่งกับลูกปัดที่ส่องแสงแวววาว เมื่อใดที่ลูกปัดไม่ส่องแสง อวี๋หวั่นก็จะใช้ตะเกียบคีบมันแล้วจุ่มลงในชามเลือดไก่ครั้งหนึ่ง
อวี๋หวั่นไม่กลัวว่าเลือดไก่จะหมด อย่างไรเสีย เธอก็ยังมีเลือดเป็ด เลือดห่าน เลือดปลา ต่อให้ทั้งหมดนี้ไม่เหลือแล้ว ก็ยังมีเลือดหมูอยู่อีกไม่ใช่หรือ?
มีเลือดให้มันกินมากมายจนอิ่มหนำ!
……………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]