หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3] นิยาย บท 34

เลือดที่ปลายนิ้วไม่ได้ออกมาก มีเพียงหยดเล็กๆ แต่นั่นก็เพียงพอจะทำให้อวี๋หวั่นสงสัย

ไม่ใช่ภาพลวงตาหรือ? ข้าถูกลูกปัดกัดแล้วเลือดออก?

ความจริงจะใช่กัดหรือไม่ เวลานี้อวี๋หวั่นก็ไม่แน่ใจนัก ความเจ็บปวดเล็กๆ เมื่อครู่นี้หายไปแล้ว เช่นเดียวกับคนที่สัมผัสของร้อนจัด ความรู้สึกแรกอาจไม่ได้ร้อน แต่เย็นเป็นน้ำแข็ง บางครั้งการรับรู้แรกของร่างกายมนุษย์ก็อาจผิดพลาด

อวี๋หวั่นไม่มีทางเชื่อว่าลูกปัดจะสามารถกัดคนได้ ดังนั้นอาจเป็นเพราะตนสัมผัสโดนพื้นผิวขรุขระไม่สม่ำเสมอ?

อวี๋หวั่นถือลูกปัดไว้ในมือและถูไปมาอีกครั้ง ไม่เห็นมีเลย ทั้งยังผิวเรียบลื่นมากอีกด้วย

หรือ…จะมีสัตว์พิษอยู่ในนั้น?

ไม่สิ เธอพกมันติดตัวตลอด หากมีสัตว์พิษ เธอกับสัตว์พิษตัวน้อยก็คงรู้นานแล้ว

อวี๋หวั่นมองราชันพันสัตว์พิษ “ใช่เจ้ากัดข้าหรือไม่?”

ราชันพันสัตว์พิษตกใจ!

ไม่ใช่ความผิดมันนะ!

เมื่อเห็นว่าลูกปัดทำให้อวี๋หวั่นบาดเจ็บ สัตว์พิษตัวน้อยก็อุ้มลูกปัดโยนลงพื้นด้วยความโกรธ!

จากนั้นก็เตะซ้ายทีขวาที ลูกปัดกลิ้งไปทั่วทั้งห้อง

ใช่ อวี๋หวั่นคิดว่ามันถูกสัตว์พิษตัวน้อยเตะกลิ้งไปมา แต่เมื่อสังเกตดูอีกครู่หนึ่ง อวี๋หวั่นก็รู้สึกว่ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะไม่ว่าเตะกี่ครั้ง เท้าของสัตว์พิษตัวน้อยก็ยังไม่สัมผัสถูกมัน แต่ลูกปัดนั้นก็ยังกลิ้งอยู่

นี่เพราะถูกดันจนกลิ้งกระมัง?

นอกจากกัดคนแล้ว มันยังกลิ้งเองได้อีก?

หือ!

สัตว์พิษตัวน้อยวิ่งเร็วปานลมกรดเตะถูกลูกปัดจนกระเด็นลอยขึ้น

ลูกปัดกระแทกเข้ากับผนัง กระดอนกลับมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่กลับไปที่หน้าสัตว์พิษตัวน้อย ทว่ากลับไปที่มือของอวี๋หวั่น

อวี๋หวั่นเพิ่งหยิบผ้าเช็ดหน้ามา หมายจะเช็ดเลือดที่ปลายนิ้ว แต่ลูกปัดก็ลอยมาปาดเลือดของเธอจนหายไป…

อวี๋หวั่น “…”

เวลานี้ดูเหมือนอวี๋หวั่นจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง เธอหยิบลูกปัดที่ตกลงบนเตียงกลับขึ้นมาและเห็นว่าลูกปัดซึ่งเดิมทีดูธรรมดามีแสงแวววาวออกมา

สิ่งที่ส่องแสงได้ อวี๋หวั่นเคยเห็นแต่ศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์ หรือสิ่งที่ดูเหมือนลูกปัดนี้ จริงๆ แล้วเป็นศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์?

อวี๋หวั่นทำให้ชี่จมสู่ตันเถียน (คิดเอาเอง) ปล่อยไอปราณสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังออกมา (คิดเอาเอง) “สีฟ้า!”

ลูกปัดไม่เปลี่ยนสี

“สีเขียว!”

ลูกปัดยังคงไม่เปลี่ยนสี

ไม่ได้ ในฐานะสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังที่สุดแห่งหมิงตู ผู้ซึ่งสามารถควบคุมศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าต้องการสีใด ศิลาก็จะเปลี่ยนเป็นสีนั้น แม้แต่สีทองที่ไม่เคยมีบันทึกไว้ในตำราก็ยังเปล่งแสงออกมาได้ ไม่มีเหตุผลที่ลูกปัดตรงหน้าจะไม่ตอบสนอง

“ไม่ใช่ศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์? แล้วเจ้าส่องแสงอันใด?”

ลูกปัดเปล่งประกายสดใสแวววาว แต่ก็ไม่ได้สว่างไสวเช่นไข่มุกราตรี อวี๋หวั่นไม่คิดว่ามันเป็นไข่มุกราตรี เพราะไข่มุกราตรีสามารถเปล่งประกายได้ตลอดเวลา แต่ไข่มุกเม็ดนี้กลับเปล่าประกายหลังจาก…ปาดหยดเลือดของเธอ?

หรือว่านี่คือ…ไข่มุกราตรีที่ใช้เลือดเพื่อส่องประกาย?

ต่อมา เรื่องที่น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่าก็เกิดขึ้น ขณะที่ลูกปัดส่องแสง ทารกในท้องของอวี๋หวั่นก็ขยับ

คล้ายว่าเธอรู้สึกถึงความตื่นเต้นของทารก

“เจ้าชอบลูกปัดเม็ดนี้หรือ?” อวี๋หวั่นก้มมองท้องใหญ่ของตน

ไม่สิ ข้าพกลูกปัดเม็ดนี้มาถึงหนึ่งปีแล้ว ก็ไม่เห็นจะตื่นเต้นอะไร

หรือเพราะมันส่องแสงได้?

ไม่นานแสงของลูกปัดก็หายไป

ท้องก็ไม่ขยับแล้ว

ไม่รู้เหตุใด อวี๋หวั่นรู้สึกว่าทารกในครรภ์ของเธอโศกเศร้าลง

อวี๋หวั่นเขย่าลูกปัด “จงเปล่งแสง!”

ลูกปัดไม่สว่างขึ้น

อวี๋หวั่นโยนลูกปัดให้สัตว์พิษตัวน้อย “เตะมัน!”

ไม่แน่ มันอาจเปล่งประกายเพราะถูกสัตว์พิษตัวน้อยเตะก็เป็นได้

สัตว์พิษตัวน้อยมีความสุขยิ่ง รับลูกปัดมาแล้วเตะมันออกไป!

ลูกปัดก็ยังไม่ส่องแสง!

“หรือว่าต้องใช้เลือดจริงๆ?” อวี๋หวั่นมองแผลตรงปลายนิ้วที่หายดีแล้ว เลือดหนึ่งหยดเมื่อครู่ถึงทำให้มันเปล่งประกายอยู่ครู่หนึ่ง หากจะทำให้มันเปล่งประกายตลอดไป ต้องใช้เลือดมากมายเพียงใดนะ?

อวี๋หวั่นยังไม่ได้ฟุ่มเฟือยถึงขั้นนั้น หลังจากคิดดูแล้ว เธอก็เรียกผิงเอ๋อร์เข้ามา

อีกด้านหนึ่งในจวนรัชทายาท ชายสวมชุดคลุมกลับมาถึงห้องในหอวั่งเยว่ของตน

การตายของเลี่ยเฟิงมีผลกระทบกับเขาอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้มากมายนัก ในมือของเขายังมีคนที่ใช้งานได้ เพียงแต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะตามเขาเข้าจวนรัชทายาท

สตรีพิษเคาะประตู “ใต้เท้า”

“เข้ามา” ชายสวมชุดคลุมกล่าว

สตรีพิษเดินเข้ามาพร้อมกับแกงโสมถ้วยหนึ่ง

นี่เป็นการบำรุงร่างกายที่ชายสวมชุดคลุมเคยชินแล้ว ทุกวันจะต้องดื่มแกงโสมหนึ่งถ้วย มันเคยเป็นหนึ่งในหน้าที่ของเลี่ยเฟิง ยามนี้เลี่ยเฟิงไม่อยู่แล้ว หน้าที่นี้จึงตกเป็นของสตรีพิษในทันที

ชายสวมชุดคลุมไม่เอ่ยสิ่งใด ยกแกงโสมขึ้นจิบ

สตรีพิษถามว่า “ใต้เท้า พระชายารัชทายาทตายแล้วหรือเจ้าคะ?”

ชายสวมชุดคลุมเอ่ย “เปล่า นางจำเรื่องเมื่อวานไม่ได้แล้ว ปล่อยนางไปก่อน”

เหตุใดถึงจำเรื่องเมื่อวานไม่ได้แล้ว? แม้สตรีพิษจะมีข้อสงสัยในใจ แต่เมื่อเห็นความมั่นใจของชายสวมชุดคลุม ก็ไม่คิดสงสัยสิ่งใดอีก

“จัดการศพของเลี่ยเฟิงแล้วหรือ?” ชายสวมชุดคลุมถาม

“เรียบร้อยเจ้าค่ะ” สตรีพิษตอบ

แม้ชายสวมชุดคลุมจะให้ความสำคัญกับเลี่ยเฟิงมาก แต่เลี่ยเฟิงที่ตายไปแล้วไม่มีค่าอะไรอีก เขาจะไม่เปลืองแรงใจกับอีกฝ่ายให้มากนัก “จากนี้ไป เจ้าทำหน้าที่แทนเลี่ยเฟิง”

สตรีพิษดีใจยกใหญ่!

นางตั้งหน้าตั้งตารอที่จะได้รับราชการอยู่ข้างกายใต้เท้า แม้จะไม่มีตำแหน่ง แต่การได้รับความสำคัญจากใต้เท้าก็นับเป็นเกียรติของนางแล้ว อย่างไรใต้เท้าก็มีตำแหน่งใหญ่โตในเผ่าศักดิ์สิทธิ์ มีเขาคุ้มครอง ชีวิตในเผ่าศักดิ์สิทธิ์ของนางคงสบายขึ้นไม่น้อย

นางมองชายสวมชุดคลุมและถามว่า “ใต้เท้า เราจะทำอย่างไรต่อไปดี? จะตามหาหัวขโมยนั่นต่อหรือไม่?”

ชายสวมชุดคลุมดื่มแกงโสมในชามก่อนจะเอ่ยว่า “แม้การหาตัวหัวขโมยจะสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า คือไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เราต้องหาทางนำไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กลับคืนมา”

ไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สำคัญต่อเผ่าศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง หากบอกว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์แห่งเผ่าศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่นับว่ามากเกินไป ทว่าสิ่งที่ต่างจากของศักดิ์สิทธิ์แห่งหนานจ้าวคือ ของศักดิ์สิทธิ์แห่งหนานจ้าวเป็นเพียงสัญลักษณ์แห่งความศรัทธาและอำนาจ ไม่ว่ามันจะอยู่ในหนานจ้าวหรือไม่ ก็ไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อหนานจ้าว ขอเพียงผู้คนเชื่อว่ามันยังอยู่ก็เพียงพอแล้ว

เมื่อไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ออกห่างจากเผ่าศักดิ์สิทธิ์ การเพิ่มระดับวรยุทธ์ของทุกคนก็จะช้าลง ไม่ว่ายอดฝีมือรุ่นก่อนจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่สุดท้ายก็ต้องตายสักวัน คนรุ่นหลังคืออนาคตที่แท้จริงของเผ่าศักดิ์สิทธิ์

เพื่อความเป็นอยู่ของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ ต้องแย่งชิงไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กลับคืนมาให้ได้!

แต่ชายสวมชุดคลุมก็ยังสงสัย “เจ้าบอกว่า…หัวขโมยนั่นตัวอ้วนขึ้นหรือ?”

“อื้ม!” สตรีพิษพยักหน้า

ความจริงไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ถูกขโมยไปเกือบยี่สิบปีแล้ว ในเวลานั้นสตรีพิษยังไม่เกิด ไม่เคยเห็นหัวขโมยตัวจริง แต่ทั่วทั้งเผ่ามีรูปภาพของหัวขโมยติดอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นรูปใบหน้า รูปครึ่งตัว รูปเต็มตัว กระทั่งคนในเผ่าศักดิ์สิทธิ์อาจไม่รู้ว่าราชาของพวกตนมีหน้าตาเช่นไร ทว่ากลับรู้ว่าหัวขโมยผู้นั้นมีหน้าตาเช่นไร จนทั้งเผ่าแทบเกิดโกลาหล!

“ไม่ควรเป็นเช่นนั้นสิ…” ชายสวมชุดคลุมพึมพำ

ไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เป็นสมบัติล้ำค่าของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ แต่การใช้สมบัตินั้นมีสิ่งแลกเปลี่ยน จำเป็นต้องใช้เลือดของยอดฝีมือหล่อเลี้ยงจึงจะสามารถยืนยันประสิทธิผลของมัน ไม่เช่นนั้นมันก็ไม่ต่างอะไรจากลูกปัดธรรมดาๆ เม็ดหนึ่ง

จากมุมมองของชายสวมชุดคลุม คนผู้นั้นขโมยไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไปก็ต้องนำไปใช้ประโยชน์ หากไม่ใช้จะขโมยไปเพื่อสิ่งใด? เอาไว้ดูความสวยงามรึ?

คงไม่ได้ทำให้สูญค่าเปล่าประโยชน์เช่นนั้นกระมัง?

และถ้าหากต้องการใช้มัน ก็ต้องปล่อยเลือดของตน ผ่านมานานหลายปีเช่นนี้ หากไม่ตายก็ปาฏิหาริย์แล้ว ไฉนยังได้อ้วนท้วนสมบูรณ์?

หรือนางจะสังหารคนอื่น แล้วใช้เลือดของคนผู้นั้นหล่อเลี้ยง?

ไม่สิ ไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั่นพิถีพิถันช่างเลือก หากเป็นเลือดของคนธรรมดาทั่วไปไม่อยู่ในสายตามันเลยแม้แต่น้อย มีเพียงยอดฝีมือระดับพระกาฬเท่านั้นที่มีค่าพอจะบูชายันต์ให้มัน

ยอดฝีมือระดับนั้นมีมากมายหรือ? ในเผ่าศักดิ์สิทธิ์ยังพบเพียงไม่กี่คน นับประสาอะไรกับต้าโจวที่ไม่มีมรดกตกทอดมาแต่โบราณ

ขณะที่ชายสวมชุดคลุมครุ่นคิดอยู่นั้น จู่ๆ ก็สัมผัสได้ถึงไอปราณที่คุ้นเคย ความรู้สึกนั้นช่างแปลกประหลาดนัก ราวกับมีสายลมพัดผ่าน และราวกับมีเปลวไฟลุกโชน เลือดในกายเดือดพลุ่งพล่าน

ดวงตาของเขาเป็นประกาย “ไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์!”

สตรีพิษเองก็รู้สึกเลือดร้อนพลุ่งพล่าน นางเกิดมา ไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ถูกขโมยไปจากเผ่าแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกเช่นนี้

นี่คืออิทธิฤทธิ์ของไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์หรือ?

ชายสวมชุดคลุมเอ่ยอย่างตื่นเต้น “มีคนกำลังบูชายันต์แก่ไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์! นางปีศาจนั่น…นางปีศาจนั่นกำลังบูชายันต์แก่ไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์!”

“เช่นนี้จะได้หรือเจ้าคะ?” ผิงเอ๋อร์ถาม

อวี๋หวั่นมองชามเลือดที่นางยกเข้ามาและส่งเสียงอืม “ข้าคิดว่าควรจะได้ วางไว้ตรงนี้ ข้าใช้ชามนี้หมดแล้วค่อยใช้มัน”

ผิงเอ๋อร์วางชามลงบนโต๊ะ

ตรงหน้าอวี๋หวั่นมีชามเลือดไก่ชามหนึ่งกับลูกปัดที่ส่องแสงแวววาว เมื่อใดที่ลูกปัดไม่ส่องแสง อวี๋หวั่นก็จะใช้ตะเกียบคีบมันแล้วจุ่มลงในชามเลือดไก่ครั้งหนึ่ง

อวี๋หวั่นไม่กลัวว่าเลือดไก่จะหมด อย่างไรเสีย เธอก็ยังมีเลือดเป็ด เลือดห่าน เลือดปลา ต่อให้ทั้งหมดนี้ไม่เหลือแล้ว ก็ยังมีเลือดหมูอยู่อีกไม่ใช่หรือ?

มีเลือดให้มันกินมากมายจนอิ่มหนำ!

……………………

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]