อวี๋หวั่นไม่มั่นใจว่าสรุปแล้วราชันสัตว์พิษของสกุลซางอยู่ในเขตหวงห้ามหรือไม่ แต่ในเมื่อใช้ราชาซิวหลัวอารักขาเขตหวงห้าม เมื่อมาคิดดูแล้วคงจะเก็บรักษาความลับสำคัญเอาไว้เป็นแน่ แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เจ้าสัตว์พิษตัวน้อยก็ต้องระวังเป็นอย่างมาก
“เจ้าห้ามถูกกินรู้ไหม?”
สัตว์พิษตัวน้อยพยักหน้าหงึก
“ถ้าเจอใครที่สู้ไม่ได้ อย่าเข้าไปหาเรื่องอย่างครั้งก่อนอีก” เมื่อนีกถึงเรื่องครั้งก่อนที่เขาหมิงซาน มันพุ่งเข้าหา
ราชันหมื่นสัตว์พิษอย่างบ้าบิ่น อวี๋หวั่นเป็นห่วงเหลือเกินว่าหากมันต้องเผชิญหน้ากับราชันสัตว์พิษของสกุลซาง มันจะรนหาที่ตายอีก
สัตว์พิษตัวน้อยพยักหน้าหงึกๆ
“ถ้าหาอะไรไม่เจอก็รีบออกมา ห้ามเที่ยวเล่น”
สัตว์พิษตัวน้อยพยักหน้าหงึกๆๆ
เมื่ออวี๋หวั่นคิดว่าตนเองเตือนมันมากพอสมควรแล้ว จึงตัดสินใจส่งมันให้อาเว่ย ให้อาเว่ยพามันไปปล่อยไว้ใกล้กับเขตหวงห้าม
หนอนน้อยกระโดดลงจากตัวของอาเว่ย แรกเริ่มเดิมทีมันก็ระมัดระวัง ถึงกับหาใบไม้มาอำพรางตนเอง แต่ราชาซิวหลัวสองคนที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกเขตหวงห้ามนั้นไม่ได้สนใจมันแม้แต่น้อย
สัตว์พิษตัวน้อยแค่นเสียง ‘หึ’ โยนใบไม้ทิ้งแล้วเดินเข้าไปด้านในอย่างผึ่งผาย!
อวี๋หวั่นออกมานานไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะเป็นที่สงสัย เพราะฉะนั้นหลังจากที่อาเว่ยพาสัตว์พิษตัวน้อยไป เธอจึงเดินกลับไปยังเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าซาง
ฮูหยินผู้เฒ่าซางชอบความสงบ เพราะฉะนั้นเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าซางจะมีบ่าวคอยรับใช้ไม่มาก และโชคดีที่เป็นเช่นนั้น เพราะถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้น อวี๋หวั่นก็จะไม่มีทางหลบหลีกสายตาผู้คนได้ง่ายดายอย่างนี้
เมื่ออวี๋หวั่นกลับไปยังห้องของฮูหยินผู้เฒ่าซาง กลับพบว่าฮูหยินผู้เฒ่าซางล้มตัวลงนอนลงบนเก้าอี้ยาวไปแล้ว เยี่ยนจิ่วเฉานั่งอยู่ข้างนางด้วยสีหน้าราบเรียบ ดูแล้ว นางน่าจะถูกเยี่ยนจิ่วเฉากล่อมจนหลับไป
อวี๋หวั่นกะพริบตาปริบๆ ด้วยความประหลาดใจ “ท่าน…ทำได้อย่างไรเนี่ย?”
“ข้าไม่รู้” เยี่ยนจิ่วเฉามองท้องฟ้าคล้ายกับกำลังใช้ความคิด คล้ายกับว่าเขาทำอย่างนี้มานับครั้งไม่ถ้วนจนเคยชินแล้ว
อวี๋หวั่นพึมพำกับตนเอง หรือเป็นเพราะครั้นอยู่ในจวนเห้อเหลียน เขากล่อมฮูหยินผู้เฒ่าหลับมาหลายต่อหลายครั้งจนชำนาญ? ต่อให้สูญเสียความทรงจำไป แต่เขาก็ยังเป็นเยี่ยนจิ่วเฉา
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้เหม่อนานเท่าไรนัก เขาแบมือออก แล้วส่งกล่องใบเล็กให้อวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นเปิดกล่องนั้นออก ก็พบว่าด้านในเป็นแผนที่ของสกุลซาง
“ฮูหยินผู้เฒ่าให้ท่านหรือ?” อวี๋หวั่นถาม
“อืม” เยี่ยนจิ่วเฉาตอบ “ข้าบอกว่าข้าอยากได้”
อวี๋หวั่นจึงถามว่า “นางไม่ได้ถามหรือว่าท่านอยากได้ไปทำอะไร?”
“เปล่า” เยี่ยนจิ่วเฉาตอบ “ข้าอยากได้ นางก็ให้ข้า”
อวี๋หวั่น “…”
แบบนี้ก็ได้หรือ?
เค้นสมองคิดหาวิธีแทบแย่ แต่ก็หาไม่เจอ กลับเป็นหมอนี่ที่หามาได้อย่างกับปอกกล้วยเข้าปาก…
อวี๋หวั่นไม่รู้ว่าควรพูดว่าอย่างไร
เมื่อมีแผนที่ พวกเขาย่อมเข้าใจการอารักขาในสกุลซางมากยิ่งขึ้น
ขณะที่อวี๋หวั่นกำลังวิเคราะห์แผนที่อยู่นั้น อยู่ๆ เยี่ยนจิ่วเฉาก็ค้นพบบางอย่าง เขายื่นนิ้วเรียวงามออกมา แล้วจิ้มลงไปบนหัวไหล่ของเธอเบาๆ “ตามข้ามา”
“อ้อ” อวี๋หวั่นถือแผนที่ แล้วจูงมือเยี่ยนจิ่วเฉา เดินออกจากห้องของฮูหยินผู้เฒ่าซาง
ทั้งสองเดินเลี้ยวไปเลี้ยวมา จนมาถึงด้านหน้าประตูบานเล็กบานหนึ่ง พวกเขาจึงเดินเข้าไป และพบกับเรือนหลังหนึ่ง ทว่าเรือนหลังนั้นอยู่ลึกเหลือเกิน และมีระเบียงทางเดินแลดูแปลกตาด้วย
“ที่นี่คือที่ไหนกัน” อวี๋หวั่นเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ พลางมองไปยังระเบียงทางเดินที่มืดสลัว ต่อให้เดินมาที่นี่ตอนกลางวันแสกๆ ก็ยังรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง
เยี่ยนจิ่วเฉาจูงมือเธอเดินไปตามระเบียงทางเดิน ทั้งสองเดินมาถึงป่าไผ่เล็กๆ แห่งหนึ่ง มีเสียงของคนสนทนากันดังมาจากในนั้น ทั้งสองคนชะงักฝีเท้า รอจนเสียงนั้นห่างออกไปและหายไป พวกเขาจึงเดินเข้าไปด้านใน
อวี๋หวั่นมองไปยังใบไม้ที่ปราศจากร่องรอยการถูกทำลาย แล้วเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัยว่า “น่าแปลก เมื่อครู่ยังได้ยินเสียงคนคุยกันอยู่เลย แต่ทำไมที่นี่ถึงดูเหมือนไม่มีคนผ่านไปผ่านมา”
เยี่ยนจิ่วเฉามองไปรอบๆ เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สายตาไปหยุดอยู่ที่ลำไผ่หนาต้นหนึ่ง เขาเดินไปแตะที่ไผ่ลำนั้น มีเสียงดัง ‘กริ้ก’ พื้นดินเบื้องล่างแยกออก เผยให้เห็นทางเข้าเล็ก ขนาดประมาณฝาปิดบ่อน้ำขนาดใหญ่
“นี่คือ…” อวี๋หวั่นเดินไป แต่กลับถูกเยี่ยนจิ่วเฉาหยุดเอาไว้
เยี่ยนจิ่วเฉาก้าวเท้าเข้าไปด้านในก่อน อีกครู่หนึ่งจึงเดินขึ้นมารับอวี๋หวั่นลงไปด้วย
ทั้งสองเดินลงไปตามทางเดิน พื้นดินเคลื่อนมาปิดสนิทโดยอัตโนมัติ
ทางเดินนี้มืดสนิท ยื่นมือออกไปก็มองไม่เห็นนิ้วมือทั้งห้า อวี๋หวั่นเปิดกระเป๋าเงิน แล้วหยิบไข่มุกราตรีขนาดเท่าไข่นกพิราบออกมา
อวี๋หวั่นดูแผนที่จากแสงของไข่มุก “ที่คือสถานที่ใดในสกุลซาง ไม่เห็นเขียนไว้ในแผนที่เลย”
เยี่ยนจิ่วเฉาเคาะผนังหิน จากนั้นก็มีเสียงดังขึ้น ประตูหินบานหนึ่งก็ปรากฏขึ้นจากผนังซึ่งเดิมทีปิดสนิทไม่มีแม้แต่ลมพัดผ่าน หลังจากที่ประตูเปิดออก ทั้งสองก็เดินเข้าไปด้วยความระมัดระวัง
ที่นี่คือห้องปรุงยา ขวดและโหลยาบำรุงวางเรียงรายอยู่บนชั้น อวี๋หวั่นสุ่มหยิบมาขวดหนึ่ง เปิดออกแล้วลองดม “อะไรเนี่ย กลิ่นเหม็นเหลือเกิน”
เยี่ยนจิ่วเฉาตอบว่า “เป็นยาที่ใช้เพิ่มพลังของซิวหลัว เม็ดหนึ่งราคาแพงมาก”
อวี๋หวั่นอยากถามว่าท่านรู้ได้อย่างไร แต่ยังไม่ทันได้ถามออกมา ก็นึกได้ว่าเขามีความทรงจำของอ๋องแห่งเผ่าปีศาจ เผ่าปีศาจก็มีซิวหลัวของตนเองเช่นกัน แน่นอนว่าย่อมต้องจดจำยาชนิดนี้ได้
เมื่อนึกถึงบางอย่างขึ้นมา อวี๋หวั่นก็พูดว่า “จะว่าไป ซิวหลัวของเผ่าปีศาจกับซิวหลัวของหมิงตูไม่ค่อยเหมือนกัน”
ไม่ว่าจะเป็นด้านสติปัญญาหรือวรยุทธ์ ซิวหลัวของหมิงตูดูเหมือนจะเหนือกว่าซิวหลัวของเผ่าปีศาจมาก
เยี่ยนจิ่วเฉาบอกว่า “ในตอนที่ย้ายเมือง ตำราการสร้างซิวหลัวถูกสกุลซือคงในหมิงตูขนไปหมด ที่เผ่าเดิมเหลือเพียงฉบับไม่สมบูรณ์”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]