ตั้งแต่ที่เจ้าปีศาจจิ้งจอกหนุ่มนั่นปรากฏตัว ประมุขศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่เป็นตัวของตัวเองขึ้นทุกที
แม้ประมุขหลินจะรู้สึกซับซ้อนอธิบายไม่ถูก แต่เขาก็มิได้นึกคลางแคลงเยี่ยนเสี่ยวซื่อ
กระนั้นแล้ว เมื่อเจรจามาจนถึงตอนนี้ ในใจของเยี่ยนเสี่ยวซื่อก็กระจ่างดีว่าประมุขหลินมาหาเพราะเหตุใด ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่กล้าตรวจสอบนิกายเซียน หากแต่เป็นเพราะพวกเขาไม่อาจเข้าไปตรวจสอบในพื้นที่ใต้อาณัติของนิกายเซียนต่างหาก
ก่อนที่ท่านพ่อและพี่ชายของนางจะออกเดินทาง ได้สร้างอาณาเขตในระยะสิบหลี่โดยรอบนิกายเซียน คนนอกไม่อาจเดินสุ่มสี่สุ่มห้าเข้ามาได้ นอกเสียจากว่าอาจารย์ปู่นิกายศักดิ์สิทธิ์และประมุขศักดิ์สิทธิ์จะมาด้วยตนเอง มิฉะนั้นก็ยากที่จะทำลายอาณาเขตของนิกายเซียน
คนนิกายศักดิ์สิทธิ์ก็เคยลองเจรจากับนิกายเซียนแล้ว แต่เจ้าบ้านไม่อยู่ ให้พวกเขามาอีกครั้งในภายหลัง
ประมุขหลินวิตกว่าจะมีผู้สูญหายเพิ่มขึ้น และกังวลว่าในตำบลอาจมีผู้บาดเจ็บมากขึ้น พวกเขาจำต้องมาขอความช่วยเหลือจากประมุขศักดิ์สิทธิ์
ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับนิกายเซียน เยี่ยนเสี่ยวซื่อจึงไม่อาจนิ่งดูดายได้
เยี่ยนเสี่ยวซื่อบอกกับประมุขหลินว่า “เจ้าบอกสถานที่ข้ามา ประเดี๋ยวข้าจะไปดูด้วยตนเอง”
“ข้าจะไปกับประมุขศักดิ์สิทธิ์” ประมุขหลินบอก
“ไม่จำเป็น” เยี่ยนเสี่ยวซื่อกังวลว่าจะคลุกคลีกับประมุขหลินมากเกินไป และทำให้ประมุขหลินมองออกว่านางมีพิรุธ “เจ้าบอกสถานที่ข้ามา ข้าจะไปเอง ในเมื่อคนผู้นั้นกล้าจับลูกศิษย์ของนิกายศักดิ์สิทธิ์ ก็เห็นได้ชัดว่าใจกล้าไม่เบา ย่อมไม่อาจประเมินพลังของพวกเขาต่ำนัก ข้าอยู่ในตำแหน่งประมุขศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีทางปล่อยให้โจรเช่นนั้นมีโอกาสลงมือ”
ประมุขหลินคิดว่าที่นางพูดมีเหตุผล อาจารย์ปู่ปิดตัวบำเพ็ญไปแล้ว ประมุขศักดิ์สิทธิ์ก็จะลงเขาไป เขาจึงกลายเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของที่นี่ ถ้าหากตนไม่อยู่ และมีใครบุกขึ้นมาบนเขา ก็อาจเกิดความเสียหายใหญ่หลวงที่ไม่อาจชดใช้ได้
ที่สำคัญก็คือพวกเขาไม่รู้พละกำลังที่แท้จริงของอีกฝ่าย จึงไม่อาจหละหลวมได้
ประมุขหลินบอกเยี่ยนเสี่ยวซื่อเกี่ยวกับเมืองและตำแหน่งที่เกิดเรื่องให้เยี่ยนเสี่ยวซื่อฟัง พร้อมทั้งส่งคนไปแจ้งแก่ลูกศิษย์ซึ่งอยู่ที่นั่นด้วย
เยี่ยนเสี่ยวซื่อกลับห้องนอนไปเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าสำหรับเดินทาง จากนั้นจึงฉกชิงประมุขศักดิ์สิทธิ์มาจากมือของเหล่าคุณหนูที่เต็มไปด้วยจิตใจความเป็นแม่
“เหตุใดต้องพาเขาไปด้วย” ประมุขมารปรากฏตัวด้านหลังเยี่ยนเสี่ยวซื่อตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้
เยี่ยนเสี่ยวซื่อกระโดดโหยง นางหันหลังไปจ้องมอง “เจ้าเดินไม่มีเสียงเลยหรืออย่างไร”
“ข้าถามเจ้า” ประมุขมารเหลือบไปมองประมุขศักดิ์สิทธิ์น้อยซึ่งอยู่ในตะกร้าด้วยความรังเกียจ
เยี่ยนเสี่ยวซื่อปิดฝาตะกร้า แล้วบอกกับเขาว่า “เกิดเรื่องที่นิกายเซียน ข้าจะออกไปดูสักหน่อย แต่ข้าไม่มีป้ายคำสั่งอยู่กับตัว จึงต้องไปด้วยตนเอง”
นางมีคุณสมบัติพิเศษ เข้าออกทุกอาณาเขตได้อย่างอิสระ
แน่นอนว่าด้วยพลังของประมุขศักดิ์สิทธิ์สามารถเปิดอาณาเขตได้ ปัญหาก็คือ…นางควบคุมพลังประมุขศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้น่ะสิ
เยี่ยนเสี่ยวซื่อสะพายตะกร้าใบเล็กขึ้นหลัง ยิ้มพร้อมพูดว่า “เจ้าไม่ได้จะตามหาคนอยู่หรอกหรือ ข้าไม่อยู่ เจ้าก็ไปตามหาคนเสียให้เต็มที่”
ประมุขมารหัวเราะร่วน “เจ้าแน่ใจหรือว่าจะลงเขาไปได้”
“ทำไมข้าจะลงเขาไปไม่ได้” เยี่ยนเสี่ยวซื่อพูด นางกำลังจะผิวปากเรียกนกหลวนศักดิ์สิทธิ์ แต่ทันใดนั้นก็นึกได้ว่านางไม่ใช่เยี่ยนเสี่ยวซื่ออีกต่อไป ไม่อาจนั่งพาหนะเดิมอีกต่อไป
เยี่ยนเสี่ยวซื่อมองลงจากภูเขาซึ่งสูงลิบจนไม่เห็นเบื้องล่าง แล้วลอบกลืนน้ำลาย
หากเดินลงไปจากที่นี่…นางคงต้องเดินจนขาลาก…แถมเดินจนขาลากแล้วก็ไม่ได้หมายความว่านางจะเดินถึงที่หมาย…
“หรือว่าเจ้าจะไปเรียนวิชาขี่กระบี่แบบเขา” ประมุขมารยืนพิงวงกบประตูด้วยท่าทางอืดอาด สองแขนกอดอก เหลือบมองประมุขหลินซึ่งกำลังขี่กระบี่จากไป
เยี่ยนเสี่ยวซื่อก้มหน้าด้วยความเศร้าสร้อย
นางทำไม่ได้
ประมุขมารพูดว่า “เกาะให้ดี”
“เกาะอะไร” เยี่ยนเสี่ยวซื่อชะงักไป นางยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง ก็สัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งปรากฏใต้ฝ่าเท้า จากนั้นนางก็ลอยขึ้นไป
นี่ต่างจากนิสัยรักการถูกอุ้มไปไว้บนที่สูงตั้งแต่วัยเด็กของนาง ความเร็วนี้…แทบจะเทียบเท่าสายฟ้าอยู่แล้ว นางรู้สึกประหนึ่งตนเองยืนอยู่บนสายฟ้าอย่างไรอย่างนั้น แรงลมปะทะใบหน้าโดยไม่ได้ตั้งเนื้อตั้งตัวจนนางล้มลง
“อ๊า!” เยี่ยนเสี่ยวซื่อตกใจ นางเอื้อมมือกอดเอวประมุขมารตามสัญชาตญาณ
แรกเริ่มเดิมทีนางยังไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังกอดเอวของบุรุษ นางเพียงกอดสิ่งที่กอดได้ แต่เมื่อกอดไปแล้วกลับรู้สึกไม่ชอบมาพากล
เอวนี้ ไม่มีแม้แต่ไขมัน เปี่ยมไปด้วยความแข็งแกร่ง
เยี่ยนเสี่ยวซื่อมีสีหน้าหลุกหลิก นางบีบเอวของเขาเล่น
ประมุขมารสะดุ้งโหยง เขาเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบพร่าว่า “มือไม้อย่าซน!”
เยี่ยนเสี่ยวซื่อ “โอ้”
ลองบีบดูอีกสักหน่อย!
ประมุขมาร “…”
ประมุขหลินขี่กระบี่กลับมายังหน้าประตูสำนัก ทันที่บินไปได้เพียงครึ่งทาง ก็สัมผัสได้ว่ามีเงาหนึ่งลอยอยู่เหนือศีรษะ เขาจึงเงยหน้าขึ้นไปมองด้วยความสงสัย เมื่อลองเพ่งมองดูแล้ว ก็ตกใจจนแทบหล่นลงมาจากกระบี่
“ระดับพลังเล่า?” เยี่ยนเสี่ยวซื่อถาม
ศิษย์พี่จิ้งส่ายหน้า “ไม่รู้แน่ชัด อาจมีระดับพลังสูงมากจนพวกข้ามองไม่ออก หรือเขาอาจมีอาวุธวิเศษสำหรับซ่อนระดับพลัง”
“ก่อนที่บรรดาศิษย์น้องจะหายตัวไป พวกเขาไล่ตามไปถึงที่ใด”
“ที่นั่นขอรับ” ศิษย์พี่จิ้งชี้ไปยังทิวเขาซึ่งอยู่เบื้องหน้า “พวกข้าสงสัยว่าเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรและชาวบ้านก็ถูกจับไปที่นั่น”
“เขาเซียนเฉ่าหรือ?” เขาเซียนเฉ่าเป็นชื่อที่ท่านแม่ของนางตั้งขึ้น เป็นปราการธรรมชาติทางทิศใต้ของนิกายเซียน ยามปกติมักไม่เกิดเรื่องอะไร มีเพียงยามที่ท่านพ่อและท่านพี่ออกเดินทางไปข้างนอก ก็จะสร้างอาณาเขตไว้ไม่ให้คนนอกเข้ามา
กระนั้น ท่านพ่อและท่านแม่ของนางไม่อยู่ในนิกายเซียนมาหนึ่งเดือนแล้ว เรียกง่ายๆ ว่าที่นี่มีอาณาเขตล้อมรอบมาโดยตลอด พวกเขาจะบุกเข้ามาได้อย่างไรกัน
“ลูกศิษย์ด้านหลังไล่ตามไป แต่ก็ถูกอาณาเขตกั้นไว้ด้านนอก” ศิษย์พี่จิ้งบอก
หมายความว่า…มีเพียงคนร้ายคนนั้นที่สามามารถข้ามอาณาเขตไปได้หรือ?
เมื่อนึกเรื่องหนึ่งออก เยี่ยนเสี่ยวซื่อก็เอ่ยขึ้นว่า “พวกเจ้าสงสัยใช่ไหมว่าคนนิกายเซียนอาจมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย”
ศิษย์พี่จิ้งไม่รู้ว่าตนเองยืนอยู่เบื้องหน้าคุณหนูแห่งนิกายเซียน จึงอธิบายอย่างละเอียดว่า “นอกจากนิกายเซียนแล้ว ข้าก็นึกไม่ออกแล้วว่ายังมีผู้ใดอีกที่มีกุญแจเปิดอาณาเขตนี้ได้”
ประมุขมารซึ่งเงียบงันอยู่นานก็เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่ยี่หระว่า “นิกายเซียนจะร่วมมือกับเผ่ามารได้อย่างไรกัน”
“เกรงว่าสหายท่านนี้คงจะไม่รู้ นิกายเซียน…” ศิษย์พี่จิ้งลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าประมุขศักดิ์สิทธิ์ของพวกตนมิได้กล่าวตัดบท จึงพูดต่อว่า “ที่จริงแล้วนิกายเซียนกับเผ่ามารล้วนมีความเกี่ยวข้องกัน ประมุขคนใหม่ของเผ่ามารมีความสัมพันธ์อันดีกับนิกายเซียน เขาเป็นลูกที่ฮูหยินของนิกายเซียนเป็นคนเก็บมาเลี้ยง คนที่รู้ความลับนี้มีไม่มาก ขอสหายอย่าได้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป”
ท่านแม่ข้ามีลูกเลี้ยงด้วยหรือ? ทำไมข้าไม่รู้ ไม่เคยมีใครบอกข้าเลย!
“นอกจากนั้น…” ศิษย์พี่จิ้งพูดต่อว่า “คดีนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ประมุขนิกายเซียนและฮูหยินออกเดินทาง และหลังจากที่คุณชายทั้งสามเก็บตัวฝึกฝนวิชา เวลาช่างประจวบเหมาะเหลือเกิน”
“เจ้าหมายความว่า…” ท่านพ่อ ท่านแม่ แล้วก็ท่านพี่ของข้าเป็นคนทำเรื่องนี้หรือ? เยี่ยนเสี่ยวซื่อชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าขึงขังว่า “พวกเจ้านึกสงสัยนิกายซึ่งโปร่งใส่ไร้ประวัติด่างพร้อยเช่นนั้นเพียงเพราะความบังเอิญอันน้อยนิด ทำเช่นนี้เหมาะสมหรือไม่เล่า”
โปร่งใสไร้ประวัติด่างพร้อย?
ศิษย์พี่จิ้งตะลึงงัน
ประมุขศักดิ์สิทธิ์ ท่านเข้าใจคำว่าโปร่งใสไร้ประวัติด่างพร้อยผิดไปหรือเปล่า
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งดินแดนถูกปรมาจารย์เซียนจิ่วเฉาต้มตุ๋นไปหมดแล้ว เขาลืมไปแล้วหรืออย่างไร
………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]