เยี่ยนเสี่ยวซื่อผล็อยหลับไปหลังจากดื่มนม เด็กแรกเกิดส่วนใหญ่มักเป็นเช่นนี้ โดยพื้นฐานแล้วจะใช้เวลานอนหลับวันละสิบสองชั่วยาม แน่นอนว่ามีเด็กที่สามารถตื่นอยู่ได้สองสามชั่วยาม แต่เด็กผู้นั้นไม่ใช่เยี่ยนเสี่ยวซื่อแน่
เยี่ยนเสี่ยวซื่อนอนเก่ง
หลังจากน้องสาวผล็อยหลับไป ไม่นานต้าเป่าก็ง่วงนอน
สารทฤดูและเหมันตฤดูของเมืองหลวงหนาวกว่าหนานจ้าว คืนเดือนสิบมีความเย็นของปลายสารทฤดู เยี่ยนเสี่ยวซื่ออยู่ในห่อผ้านวมหนาจึงไม่หนาว ส่วนต้าเป่าก็อวบอ้วนไม่ได้กลัวหนาวนัก แต่ต้าเป่าก็ยังห่มผ้าให้ตนเองกับน้องสาว
หลังจากนั้นต้าเป่าก็นอนกอดน้องสาวจนหลับไป
องครักษ์ที่เฝ้าอยู่นอกห้อง เปลี่ยนจากหนึ่งเป็นสองคน เหตุผลหลักคือต้าเป่าเฉลียวฉลาดยากรับมือ องครักษ์นายหนึ่งรีบไปทำธุระแล้ว นี่ที่จึงไร้คนเฝ้า จำเป็นต้องเรียกอีกคนหนึ่งมา
เหตุผลที่ทั้งสองไม่เฝ้าอยู่ในห้อง หนึ่งเพราะต้าเป่าไม่ยอม สองเพราะชายสวมชุดคลุมคำนึงถึงเหตุการณ์จริง กังวลว่าหากชายฉกรรจ์แปลกหน้าสองคนเฝ้ามองสองพี่น้องอยู่ อาจจะทำให้พวกเขากินไม่ลงนอนไม่หลับได้
องครักษ์ทั้งสองล้วนเป็นยอดฝีมือของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ แม้พวกเขาจะไม่ได้อยู่ในห้อง ก็ยังสามารถรับรู้การเคลื่อนไหวภายในห้องผ่านกำลังภายในได้
ทั้งสองได้ยินเสียงจ๊วบจ๊าบ ก็คิดว่าทารกในห่อผ้ากำลังดื่มนม ผ่านไปไม่นานทั้งสองคนก็ได้ยินเสียงผ้าเสียดสีกัน จึงเดาว่าพี่ชายกำลังห่มผ้าให้ตนเองกับน้องสาวแล้ว
ต้องบอกว่าเด็กคนนี้ไม่ธรรมดานัก อายุสามขวบก็สามารถดูแลตนเองและน้องสาวได้ ต่อให้เป็นเผ่าศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกตนเองว่าเป็นปราชญ์ ก็ยังไม่กล้ารับรองว่าจะมีเด็กที่เฉลียวฉลาดถึงเพียงนี้อยู่ในเผ่า
“ได้ยินว่าเด็กสองคนนี้อาจเป็นทายาทของเผ่าศักดิ์สิทธิ์” หนึ่งในองครักษ์กระซิบ
หากเป็นเช่นนี้ ดูเหมือนว่าความฉลาดของต้าเป่าจะมาจากการเป็นทายาทของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ เผ่าศักดิ์สิทธิ์ภาคภูมิใจและหยิ่งยโสในตนเองอยู่เสมอ พวกเขาไม่เคยยอมรับว่ามนุษย์โลกที่ต่ำต้อยเหล่านี้จะสามารถให้กำเนิดบุตรที่ชาญฉลาดกว่าเผ่าศักดิ์สิทธิ์ได้
สหายข้างๆ ฮึดฮัด “แล้วอย่างไรรึ? เวลานั้นยายของพวกเขาสร้างหายนะครั้งใหญ่แก่เผ่าศักดิ์สิทธิ์ ขโมยสมบัติของเผ่า เป็นพวกทรยศของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ตลอดกาล เผ่าศักดิ์สิทธิ์ไม่มีทางยอมรับพวกเขา!”
“ก็จริง” องครักษ์พยักหน้า แล้วจู่ๆ ก็ตบไหล่เพื่อนของเขา “ฟังสิ ด้านในหลับกันแล้ว!”
องครักษ์ตั้งใจฟังเสียงอยู่ครู่หนึ่ง และเอ่ยด้วยความดีใจ “หลับแล้ว ก็หวานหมูละ รีบไปนำไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ออกมาเถอะ!”
ทั้งสองผลักประตูเข้าไปในห้องอย่างเงียบๆ
ต้าเป่ากับน้องสาวนอนหลับสนิท
ทั้งสองสบตากัน หนึ่งในนั้นค่อยๆ ยกตัวต้าเป่าให้ตั้งตรง เพื่อไม่ให้เขากลืนลูกปัดลงไปด้วยสัญชาตญาณ ยามที่ต้องเปิดปาก
อีกคนหนึ่งยื่นนิ้วเข้าไปในปากต้าเป่า
เขาคีบบางอย่างออกมา ทว่าไม่ใช่ไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ กลับเป็นก้อนกระดาษเล็กๆ
เขาคลี่กระดาษออกดู ก็พบว่าบนกระดาษเขียนอักษรไว้ ‘ในตู้’
ต้าเป่าเขียนคำว่าตู้ไม่เป็น จึงวาดรูปตู้ลงไปแทน
องครักษ์สงสัย คำว่าต้มเจ้ายังเขียนได้ แต่คำว่าตู้กลับเขียนไม่ได้หรือ?
ไม่สิ กระดาษนี้หมายความเช่นไร หมายความว่าไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตู้หรือ?
“ไม่ได้อยู่ในปากเขา!” องครักษ์อุ้มต้าเป่ากล่าว
แปลกจริง หรือเด็กคนนี้จะเดาได้ว่า พวกเขาจะมาหาลูกปัดในปากหลังจากที่เขาหลับไป จึงซ่อนลูกปัดไว้ในตู้ก่อนแล้ว ทั้งยังใจดีเขียนเตือนพวกเขา?
“ลอง ลองหาดูก่อนค่อยว่ากัน!” สหายบอกองครักษ์ให้วางต้าเป่าลง
ทั้งสองเปิดประตูตู้ ควานหาอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็พบก้อนกลมเล็กๆ ทว่ากลับกลายเป็นกระดาษอีกใบ!
‘อยู่ในกล่อง’
เขียนคำว่ากล่องไม่ได้ จึงวาดรูปเหมือนเช่นเคย
ในห้องนี้มีสิบเจ็ดสิบแปดกล่อง แล้วเจ้าวาดกล่องใดกันแน่?
“ข้ารู้สึกว่าเขากำลังล้อเล่นกับพวกเรา” องครักษ์กล่าว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]