“ดูเหมือนว่าเขาจะป่วย มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน” ประมุขมารเอ่ยขึ้นทันใด
เยี่ยนเสี่ยวซื่อเหลือบมองเขาอย่างตะลึงงัน จากนั้นก็หันไปมองผู้บำเพ็ญมารและมารดาภูติผีซึ่งอยู่ด้านข้าง
ความปวดร้าวเหลือแสนปรากฏบนใบหน้าของทั้งสองคน
มารดาภูติผีกล่าวว่า “ในวันนั้น หวนหลางและสือโถวน้อยถูกสายฟ้าสวรรค์ผ่าลงมา หวนหลางปกป้องสือโถวน้อยไว้ในอ้อมอก แต่สุดท้ายก็ได้รับบาดเจ็บ หวนหลางใช้พลังเฮือกสุดท้ายพาสือโถวน้อยไปยังโรงหมอ ทว่าพวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าผลเป็นอย่างไร”
ผู้บำเพ็ญมารคนหนึ่งพาเด็กเผ่ามารอีกคนหนึ่งไปยังโรงหมอในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ จะเกิดเรื่องอะไรตามมาย่อมเดาได้ไม่ยาก
เยี่ยนเสี่ยวซื่อไม่จำเป็นต้องฟังต่อ ก็รู้ดีว่าพวกเขาต้องเผชิญกับสิ่งใด
คุณสมบัติของร่างผู้บำเพ็ญมารนั้นแข็งแกร่งกว่าผู้บำเพ็ญเพียร กอปรกับระดับพลังของหวนหลางก็มิได้ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ถ้าไม่ใช่เพื่อปกป้องลูกชาย เขาย่อมต้องต้านทานสายฟ้าสวรรค์นั้นได้เป็นแน่ แต่เขาก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น เขาถ่ายทอดพลังทั้งหมดไปที่ลูกของเขา
ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้สิ้นใจคาที่ ทว่าเขาบาดเจ็บหนัก ผู้บำเพ็ญเพียรฝ่ายธรรมะไม่เกรงกลัวเขาอีกต่อไป
ผู้บำเพ็ญเพียรฝ่ายธรรมะมิได้ปล่อยเขาไปเพียงเพราะเขาบาดเจ็บ คนพวกนั้นต่อยตีเขา รังแกเขา จับอาวุธขึ้นมาปลิดชีพเขา กำปั้นระรัวใส่ร่างของเขาดุจหิมะโปรยปราย เขาไม่ได้ตอบโต้ เพียงแต่คุกเข่าอยู่หน้าโรงหมอนิ่งๆ อ้อนวอนให้หมอช่วยชีวิตลูกชายที่หายใจรวยริน
ตราบจนทุกวันนี้ มารดาภูติผียังจดจำชื่อหมอเหล่านั้น รวมไปถึงผู้บำเพ็ญเพียรที่มีส่วนร่วมในการกลุ้มรุมสองพ่อลูกได้แม่นยำ
“ชาวบ้านกับผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านั้น…ล้วนเป็นผู้ที่มุงดูและทุบตีพวกเขาในปีนั้นหรือ?”
“ไม่เพียงเท่านี้หรอก…” มารดาภูติผีสูดหายใจเข้าลึก ยิ้มพลางน้ำตาไหลริน “คนธรรมดาข้าล้วนปล่อยไปแล้ว พวกเขาไม่ได้มีหน้าที่รักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วย แต่คนในโรงหมอเป็นใคร…พวกเขาไม่ใช่หมอหรอกหรือ? พวกเขาไม่ได้มีหน้าที่รักษาคนป่วยด้วยจิตอันเปี่ยมเมตตาหรอกหรือ? อีกทั้งผู้บำเพ็ญเพียรพวกนั้น…”
เยี่ยนเสี่ยวซื่อเข้าใจแล้ว ยามนั้นมีผู้คนมากมายอยู่ในที่เกิดเหตุ ผู้ที่ประดังล้อมทำร้ายพวกเขามีมากมาย แต่นางลงโทษเพียงคนในโรงหมอกับผู้บำเพ็ญเพียรพวกนั้น
ชาวบ้านร้านตลาดทั่วไปไม่ว่าจะมามุงดู หรือว่ามาร่วมประสมโรง มารดาภูติผีล้วนไม่แตะต้อง
“เดิมทีหวนหลางไม่จำเป็นต้องตาย…ลูกชายของข้าไม่จำเป็นต้องบาดเจ็บหนักถึงเพียงนี้…หากพวกเขา…หากพวกเขา…” มารดาภูติผีร้องลั่นอย่างเสียสติ
“ไม่ต้องพูดแล้ว! ไม่ต้องพูดแล้ว!” ผู้บำเพ็ญมารเข้าไปโอบไหล่มารดาภูติผี หยาดน้ำตาร้อนกรุ่นไหลรินออกมา
สือโถวน้อยเกิดมาเป็นมาร ไม่อาจกลับไปยังสังสารวัฏเฉกเช่นผู้บำเพ็ญมาร เมื่อตายไปแล้ว เขาก็จะสลายไปจากภพภูมิทั้งหก
มารดาภูติผีและผู้บำเพ็ญมารหวังว่าจะสามารถอยู่เคียงข้างลูกชายไปจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต หลังจากที่เขาส่งลูกชายไปแล้ว มารดาภูติผีก็จะส่งเขาตามไป…
มารดาภูติผีพลิกมือคว้าข้อมือของผู้บำเพ็ญมาร เอนกายซบอกผู้เป็นสามี แล้วมองไปยังประมุขมารและเยี่ยนเสี่ยวซื่อ ประมุขมารมือเปื้อนเลือดไปนานแล้ว ทว่าดวงตาของคุณชายคนนี้ยังคงเป็นประกายใส
มารดาภูติผีแค่นหัวเราะแดกดัน บอกกับเยี่ยนเสี่ยวซื่อว่า “บางทีคุณชายอาจคิดว่าคนเหล่านั้นไม่ควรถึงกับต้องตาย แต่ข้าจะบอกให้ว่าข้าไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อยที่ฆ่าพวกเขา!”
เยี่ยนเสี่ยวซื่ออ้าปากพะงาบ ไม่รู้ว่าควรตอบว่าอย่างไร
เยี่ยนเสี่ยวซื่อหาใช่ผู้พิทักษ์ความเที่ยงธรรม นางไม่รู้สึกเห็นใจคนพวกนั้นแม้แต่น้อย นางเพียงแต่สงสารเด็กคนนี้ ในบรรดาทุกคนในเหตุการณ์นี้ มีเพียงเขาคนเดียวที่เป็นผู้บริสุทธิ์
เยี่ยนเสี่ยวซื่อมองไปยังเด็กและกระต่ายในเรือน
ขนมหูหลัวปัว(แคร์รอต)ชิ้นแรกหมดไปแล้ว เด็กชายตัวน้อยจึงควานหยิบชิ้นที่สองขึ้นมาป้อนมัน
ในตอนนั้นเอง เยี่ยนเสี่ยวซื่อจึงสังเกตเห็นว่ามีรอยแผลเป็นอยู่บนร่างของกระต่ายตัวนั้น
มารดาภูติผีสะอื้นไห้ “เป็นกระต่ายที่เขาเก็บมาจากข้างทาง ตอนนั้นมันถูกศรธนูยิง เขาจึงช่วยมันกลับมา ข้าจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่านี่เป็นสัตว์ตัวที่เท่าใดที่เขาช่วยชีวิตเอาไว้ เขาช่วยผู้อื่นนับครั้งไม่ถ้วน แต่ใครบ้างเล่าจะช่วยเขา”
“เป็นอะไร เจ้าเศร้าใจหรือ?” อยู่ๆ ประมุขมารเอ่ยถามเยี่ยนเสี่ยวซื่อซึ่งนิ่งเงียบไป
เยี่ยนเสี่ยวซื่อพยักหน้า
นางไม่ได้เศร้าใจเพราะคนที่หาเรื่องใส่ตัวเหล่านั้น ไม่ว่าพวกเขาจะได้รับผลของการกระทำที่หนักหนาสาหัสกว่าโทษที่ควรได้รับ แต่พวกเขาก็ทำความผิด “สือโถวน้อยผิดอะไร เขาเกิดมามองไม่เห็นก็น่าสงสารมากพอแล้ว…”
ประมุขมารไม่ได้พูดอะไร
หัวใจของเขาแข็งประหนึ่งเหล็กกล้า มิได้รู้สึกสะท้อนใจเพียงเพราะเรื่องประเภทนี้
ตอนนั้นเขายังเด็ก ยามที่ครอบครัวของเยี่ยนเสี่ยวซื่อเข้ามา ก้นบึ้งในใจของเขายังคงเหลือเศษเสี้ยวสุดท้ายของความอ่อนโยนอยู่
แต่นางกลับต่างออกไป
นางเป็นดรุณีน้อยที่รักความยุติธรรมมากมาแต่ไหนแต่ไร
“แม้ว่าข้าจะไม่มีวิธี แต่…เขาน่าจะมี” ประมุขมารส่งสายตาไปยังร่างในตะกร้าสะพายหลัง
“เจ้าหมายถึงประมุขศักดิ์สิทธิ์หรือ?” เยี่ยนเสี่ยวซื่อกะพริบตาปริบๆ
ประมุขมารเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “หวังว่าเขาจะมีวิธี ไม่เช่นนั้นคงเสียแรงที่ข้าคิดว่าเขาเก่งกาจ”
เยี่ยนเสี่ยวซื่อกลอกตาวน ไม่ว่าประมุขศักดิ์สิทธิ์จะมีหรือไม่มีวิธี เขาไม่มีทางให้มารดาภูติผีและผู้บำเพ็ญมารล่วงรู้ว่านางและประมุขศักดิ์สิทธิ์สลับตัวตนกัน นางกระแอมเบาๆ แล้วพูดกับทั้งสองว่า “พวกท่านทบทวนตนเองอยู่ที่นี่ก่อน พวกข้าจะเข้าไปดูว่ามีวิธีช่วยสือโถวน้อยหรือไม่”
มารดาภูติผีได้ยินว่าพวกเขาจะช่วยลูกของตน นัยน์ตาก็พลันเป็นประกาย “จริงหรือ? คุณชาย!”
เยี่ยนเสี่ยวซื่อตอบว่า “ข้าไม่รับปากว่าจะช่วยได้ ท่านอย่าเพิ่งรีบร้อนดีใจไป! อีกอย่าง ขณะที่พวกข้ากำลังช่วยสือโถวน้อย พวกท่านห้ามแอบมองเป็นอันขาด! ไม่เช่นนั้นถ้าข้ารู้ ข้าจะสังหารเขาเสีย!”
เรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวโยงกับวิชาเฉพาะตัวและการถ่ายทอดจากสำนัก การฉกฉวยความสามารถของผู้อื่นนับว่ามีโทษมหันต์ มารดาภูติผีพยักหน้า นางเองก็รู้ขอบเขตข้อนี้ดี จึงไม่รอช้าตอบตกลงในทันใด
อันที่จริงไม่ว่าจะรักษาหายหรือไม่ เยี่ยนเสี่ยวซื่อก็จะลองรักษาดู อย่างไรเสียนอกจากพวกเขาทั้งสอง ก็ไม่มีผู้ใดยินดีรักษาสือโถวน้อยแล้ว
ประมุขมารทำลายข่ายอาคมป้องกันเสียงของมารดาภูติผีอย่างไม่ใส่ใจ แล้วจึงแผ่ข่ายอาคมใหม่ เช่นนี้ต่อให้มารดาภูติผีและผู้บำเพ็ญมารอยากสอดแนมก็ไม่อาจทำได้
เสียงฝีเท้าดังขึ้น
เด็กชายตัวน้อยหันหน้าไป “ท่านพ่อ ท่านกับท่านแม่มาแล้วหรือขอรับ?”
ยามที่ผู้บำเพ็ญมารมาเยี่ยมสือโถวน้อย ขอเพียงมารดาภูติผีมากับเขาด้วย เขาก็จะบอกลูกชายว่าท่านแม่ก็อยู่ที่นี่ เพียงแต่ท่านแม่ไม่อาจพูดคุยหรือกอดเขาได้ เพราะว่า…ท่านแม่ป่วย เกรงว่าจะนำโรคมาติดเขา
มารดาภูติผีพูดไม่ได้ และไม่อาจเข้าใกล้ลูกชายตัวน้อย แต่นางสามารถส่งเสียงฝีเท้า ทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้านอกเหนือจากเสียงฝีเท้าของท่านพ่อ เด็กชายตัวน้อยก็จะคิดว่าเป็นท่านแม่ด้วยความเคยชิน
เหตุที่เขามิได้คาดเดาว่าเป็นคนอื่น ก็เพราะบนโลกนี้ นอกจากท่านพ่อกับท่านแม่แล้ว ก็ไม่มีผู้ใดมาหาเขาอีก
คำถามของเขา ทำให้เยี่ยนเสี่ยวซื่อและประมุขมารถึงกับชะงักงัน
“…” ประมุขมารมาพร้อมกับเยี่ยนเสี่ยวซื่อ แต่กลับถูกเด็กทึกทักว่าเป็นพ่อไปได้
เขาย่อมรับไม่ได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]