อวี๋หวั่นรู้สึกหงุดหงิดกับคำพูดเหล่านี้ ทว่ายามเธอสงบลงแล้วลองคิดดู เยี่ยนไหวจิ่งก็คงเป็น ‘ผู้ชายเลว’ เช่นนี้เป็นปกติอยุ่แล้ว เธอไม่อาจใช้แนวคิดผัวเดียวเมียเดียวแบบสมัยใหม่มาวัดผู้ชายโบราณได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุรุษที่อยู่ในจุดสุดยอดทางอำนาจ เมื่อลองคิดดูจากมุมมองของเยี่ยนไหวจิ่ง เด็กหญิงตัวเล็กๆ ในหมู่บ้านที่ไม่คู่ควรแม้แต่จะเป็นสาวใช้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเช่อเฟย ไม่ต้องถามก็รู้ว่าเขาต้องอดทนต่อแรงกดดันมหาศาลเพื่อให้ผู้หญิงต่ำต้อยเช่นเธอได้เป็นเช่อเฟย
แม้เธอเข้าใจเจตนาของเขา ทว่าก็ไม่ได้หมายความว่าเธอเห็นด้วยกับการกระทำของเขา
ในมุมมองของเขา เขาคือผู้เสียสละและยอมอ่อนข้อให้อย่างมาก ทว่าในมุมมองของอวี๋หวั่น เขาไม่ได้ให้แม้แต่ความเคารพในขั้นพื้นฐานที่สุดกับเธอด้วยซ้ำ
อวี๋หวั่นถามอย่างจริงจัง “องค์ชายรอง ใช่หรือไม่ว่า ในสายตาคนร่ำรวยและทรงอำนาจเช่นพวกท่าน ขอเพียงเป็นสิ่งของให้ทาน คนอื่นๆ ก็ต้องยอมรับด้วยความซาบซึ้ง ไม่ว่าตนเองจะต้องการหรือไม่ก็ตาม?”
น้ำเสียงของอวี๋หวั่นสงบราบเรียบ ทว่าเยี่ยนไหวจิ่งกลับถูกพลังที่ซ่อนอยู่ในความสงบของเธอแทรกเข้าไปถึงหัวใจ
ไม่เคยมีใครถามเขาด้วยคำถามเช่นนี้ พวกเขาต้องการหรือไม่? ต้องการพระคุณของเขาหรือไม่?
อวี๋หวั่นยิ้มจางๆ สีหน้าของเธอสงบนิ่งราวกับดอกกล้วยไม้ในหุบเขายามพลบค่ำ “มีความต้องการชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่าฝ่าบาทคิดว่าข้าต้องการ ฝ่าบาทเชื่อว่าการให้ข้าเป็นสนมเช่อเฟยเป็นความพยายามอย่างเต็มที่ของท่านแล้ว ข้าควรจะรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณเป็นอย่างยิ่ง ทว่าฝ่าบาท ตั้งแต่ต้นจนจบท่านไม่เคยถามความคิดเห็นของข้า ข้าชอบท่านหรือไม่ ข้าอยากแต่งงานกับท่านหรือไม่? ท่านเพียงแค่คิดว่าจะเอาตำแหน่งที่ท่านชนะมาได้มอบให้ข้าเท่านั้น ผู้ที่ซาบซึ้งใจคือข้าหรือ? ไม่ เป็นตัวท่านเอง
ท่านรู้สึกว่าท่านใช้ความพยายามอย่างมาก ท่านไม่เชื่อฟังท่านแม่ และทำให้ท่านพ่อของท่านเกิดโทสะ ตั้งแต่เล็กท่านเคยเชื่อฟังมาเสมอ ท่านทำตัวดื้อรั้นเช่นนี้เป็นครั้งแรก…ท่านเกือบถูกตัวเองทำให้รู้สึกดีแล้ว ท่านคิดว่าตัวเองยอดเยี่ยม ทว่าฝ่าบาท สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เพื่อตัวข้า ท้ายที่สุดคนที่ท่านเอาอกเอาใจ ก็มีแต่เพียงตัวท่านเองเท่านั้น”
เยี่ยนไหวจิ่งเป็นองค์ชาย ไม่เคยมีผู้ใดกล้าเอ่ยกับเขาเช่นนี้ แต่ไม่ใช่เพราะน้ำเสียง อันที่จริง น้ำเสียงของอวี๋หวั่นสงบราบเรียบราวกับทะเลสาบที่ไร้คลื่น แต่วาจานั้น ทุกคำทุกประโยคไม่อาจปฏิเสธ!
กระทั่งบิดาผู้ให้กำเนิดของเขาก็ไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์เขาเช่นนี้!
เขาโกรธจนหน้าดำหน้าแดง จิตใจลึกๆ ก็อยากจะโต้แย้ง ทว่าไม่รู้จะเริ่มโต้จากตรงไหน
จวินฉางอันที่พิงรถม้าชมความตื่นเต้นก็รู้สึกตกใจกับวาจาของอวี๋หวั่นเช่นกัน เขายืดตัวขึ้นมอง เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่เขามองสตรีผู้หนึ่งตรงๆ
เสื้อผ่าหน้าเนื้อผ้าป่านสีขาวแบบวสันตฤดู กระโปรงผ้าโปร่งและผ้าฝ้ายสีฟ้าเข้ารูป รัดเอวช่วงหน้าท้องถึงสะโพก ปลายแขนเสื้อพับขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นข้อมือนวลเนียน เส้นผมดำขลับยาวพาดไหล่จนเห็นเพียงนิ้วก้อย ใช้ปิ่นไม้ทำมวยผมหลวมๆ การแต่งกายไม่มีตรงใดที่งดงามจับตา ทว่าเมื่ออยู่บนร่ายกายของนาง กลับรู้สึกถึงความงดงามอันแสนละมุนละไมและลึกซึ้งในทันที
ตั้งแต่อายุสามขวบ จวินฉางอันติดตามอาจารย์ร่อนเร่ไปทั่วยุทธจักร แม้อายุไม่มาก ทว่ากลับเป็นผู้เชี่ยวชาญในยุทธจักร เขาพบเห็นมามาก วิสัยทัศน์สูงขึ้น เขาไม่ค่อยได้ชื่นชมใครนัก แต่ยามนี้เขาต้องยอมรับ ว่าคำพูดของเด็กผู้หญิงคนนี้คมในฝัก ตอกกลับได้อย่างเฉียบคม
สถานการณ์คับขันลำบากในช่วงครึ่งชีวิตแรกของเยี่ยนไหวจิ่งราวกับว่าถูกรวบรวมมาอยู่ในนาทีนี้ทั้งหมด เขาพูดไม่ออกอยู่เนิ่นนาน รอจนสุดท้ายเขาพูดได้ อวี๋หวั่นก็ได้จากไปพร้อมกับไม้คานหาบเสียแล้ว
เขารีบสาวเท้าก้าวตามด้วยความเร็ว “หรือเยี่ยนจิ่วเฉาสามารถเอาตำแหน่งชายาเอกมาให้เจ้าได้?”
อวี๋หวั่นจับเชือกบนถังไม้ด้วยสองมือ ถังน้ำทั้งสองมีน้ำหนักมาก ทว่าร่างเพรียวของเธอกลับตั้งตรง “เขาทำได้หรือไม่ ข้าไม่รู้ ข้ารู้เพียงว่า ฝ่าบาททำไม่ได้”
เยี่ยนไหวจิ่งกำหมัดแน่น
…
เดิมทีเยี่ยนไหวจิ่งมาเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยง งานเลี้ยงของหมู่บ้านเล็กๆ เช่นนี้ ได้รับการเยี่ยมเยียนจากองค์ชายของประเทศนับว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ทว่าในยามนี้ เขากลับไม่อาจก้าวไปข้างหน้าได้
“ฝ่าบาท?” เมื่อจวินฉางอันเห็นเขายืนอย่างเงียบๆ อยู่ข้างบ่อน้ำโบราณเนิ่นนาน ก็อดไม่ได้ที่จะเรียกเขา
เยี่ยนไหวจิ่งปล่อยหมัดที่กำแน่นอย่างแผ่วเบา
จวินฉางอันกวาดสายตาไปพลางเอ่ยถาม “ของขวัญบนรถ ท่านยังต้องการส่งให้แม่นางอวี๋อยู่หรือไม่?”
การเรียกชื่อของจวินฉางอันถึงกับเปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว ทว่าความคิดของเยี่ยนไหวจิ่งไม่ได้อยู่ในเรื่องนี้ ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ไม่ได้สังเกตเห็นคำเรียกที่เปลี่ยนไป
“กลับวัง” เยี่ยนไหวจิ่งเอ่ย
เยี่ยนไหวจิ่งจะไปคำนับสวี่เสียนเฟยทุกวัน ในฐานะบุตรที่กตัญญู สิ่งนี้กลายเป็นนิสัยที่เปลี่ยนไม่ได้มานานหลายปี จวินฉางอันไม่เอ่ยสิ่งใด หลังจากขึ้นรถ ก็ขับรถม้ากลับไปวังหลวงอย่างเงียบๆ
ณ ห้องโถงวังเสียนฝู สวี่เสียนเฟยกำลังชื่นชมม้วนภาพวาดที่จิตรกรนำมาเสนอ ยามบุตรชายของนางมาถึง ความรู้สึกยินดีก็ปรากฏขึ้นที่หางคิ้ว “วันนี้สายกว่าเมื่อวานเล็กน้อย งานราชกิจรัดตัวหรือ?”
ตั้งแต่รับพิจารณาคดีที่วัดต้าหลี่ เยี่ยนไหวจิ่งก็ยุ่งกว่าเดิมมาก
เยี่ยนไหวจิ่งถวายบังคมเงียบๆ “ถวายบังคมเสด็จแม่”
สวี่เสียนเฟยกวักมือเรียก “มานี่”
เยี่ยนไหวจิ่งก้าวไปข้างๆ นางและนั่งลงเว้นห่างจากโต๊ะเล็ก
สวี่เสียนเฟยกางภาพทีละใบบนโต๊ะเล็ก “ให้เจ้าเป็นคนเลือกเอง หากเจ้าไม่เลือก แม่ก็คงต้องเลือกให้ด้วยตนเอง สตรีเหล่านี้แม่คัดเลือกมา หลังจากพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว พวกนางมีตระกูลที่ดี มีพร้อมทั้งหน้าตาและความสามารถ ลูกดูสิ ให้บุตรีของจวนอัครมหาเสนาบดีเป็นพระชายาเอกดีรึไม่? ส่วนบุตรีของราชครูและต้าฟูแห่งหออาลักษณ์หลวงก็ให้เป็นเช่อเฟย…”
การสนทนาผ่านไปครึ่งหนึ่ง สวี่เสียนเฟยตระหนักได้ว่าใบหน้าของเยี่ยนไหวจิ่งไม่ปกติ จึงค่อยๆ วางม้วนภาพวาดลงพลางเอ่ยถามว่า “เป็นอันใดไป? ไม่ต้องการหรือ?”
เยี่ยนไหวจิ่งนิ่งเงียบ
สวี่เสียนเฟยมอบม้วนภาพวาดให้มามาผู้ดูแลที่อยู่ข้างๆ มามาผู้ดูแลเข้าใจความหมาย นำเหล่าข้าราชบริพารถอยออกไป
เหลือเพียงมารดาและบุตรชายอยู่ในห้องเพียงสองคน สวี่เสียนเฟยปอกส้มให้บุตรชาย “มีคนที่ชอบแล้วหรือ?”
นัยน์ตาเยี่ยนไหวจิ่งขยับเล็กน้อย
สวี่เสียนเฟยกลับไม่ได้มองเขาและแกะกากของส้มอย่างมุ่งมั่น “กี่ปีแล้วไม่ยอมแต่งงาน ไม่เข้าใกล้อิสตรี ข้าที่เป็นแม่ของเจ้าไม่รู้เลยว่าเจ้าคิดสิ่งใดอยู่ ไปพบนางมาหรือ? คุยกับนางว่าอย่างไร?”
หากเป็นบุตรีที่ผู้คนรู้จักกันดีและคู่ควรต่อการอภิเษก บุตรชายก็คงหงายไพ่ให้นางดูนานแล้ว ทว่าเอาแต่นิ่งเงียบ เดาว่าตัวตนของนางคงไม่คู่ควรกับราชวงศ์ ดังนั้น สวี่เสียนเฟยจึงไม่ได้ถามถึงที่มาของอีกฝ่าย
เยี่ยนไหวจิ่งยังคงไม่ปริปาก
ไม่มีผู้ใดเข้าใจบุตรชายได้ดีกว่ามารดา ในเมื่อเขาไม่เอ่ยสิ่งใด สวี่เสียนเฟยจะไม่ต้องเดาเองหรือ?
สวี่เสียนเฟยกล่าวต่อว่า “ในเมื่อเจ้าชอบนางมากเยี่ยงนี้ แม่ก็จะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจ ตราบใดที่นางไม่ได้เกิดในซ่องโสเภณีหรือเคยเป็นนักโทษ แม่อาจให้เจ้าพานางเข้ามาได้ หากนางให้ทายาทกับเจ้าได้ จะให้ตำแหน่งสนมซู่เฟยแก่นางก็ไม่มีปัญหา”
สถานะของตำแหน่งสนมซู่เฟยต่ำกว่าสนมเช่อเฟย หากเรียกเช่อเฟยว่าผิงชี[1] ซู่เฟยก็คงเรียกว่าอี๋เหนียง[2]
อี๋เหนียงของจวนองค์ชาย ก็เป็นสิ่งที่หลายคนไม่อาจปีนขึ้นไปได้
ในที่สุดเยี่ยนไหวจิ่งก็มีการตอบสนอง ทว่าเขากลับส่ายศีรษะ
ดวงตาของสวี่เสียนเฟยเย็นลง “อย่างไร? นางไม่ชอบหรือ? หรือนางอยากเป็นเช่อเฟย?”
เยี่ยนไหวจิ่งส่ายศีรษะอีกครั้ง
“พระชายาเอกรึ?” สวี่เสียนเฟยสูดหายใจ!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]