อวี๋หวั่นและเยี่ยนจิ่วเฉาลอบออกมาจากตำหนักของราชินีแม่มด แล้วลอบเข้าไปยังตำหนักของราชาพ่อมดทางประตูด้านข้าง
ตำหนักราชาพ่อมดอบอวลไปด้วยกลิ่นของยา บ่าวในตำหนักไม่มีอำนาจในการสั่งยา เพราะฉะนั้นไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใครเป็นผู้ควบคุมอาการป่วยของราชาพ่อมด
ทั้งสองเดินไปตามกลิ่นของยา พวกเขาหาห้องนอนของราชาพ่อมดอย่างมิได้ลำบากเท่าไรนัก
ราชินีแม่มดพาต๋าหว่าและโจวจิ่นออกไปแล้ว โดยรอบห้องนอนมียอดฝีมืออยู่เพียงไม่กี่คน แต่เยี่ยนจิ่วเฉาก็หลบหลีกมาได้ทั้งหมด
ประตูใหญ่ของห้องนอนไม่ได้ลงกลอน อวี๋หวั่นยื่นหน้าเข้าไปมอง เมื่อเห็นว่าในห้องนั้นว่างเปล่า จึงจะผลักประตูเดินเข้าไป แต่กลับถูกเยี่ยนจิ่วเฉาหยุดไว้เสียก่อน
เยี่ยนจิ่วเฉาส่งสายตาให้เธอ
อวี๋หวั่นเข้าใจในทันใด เธอจึงดึงมือกลับมา ส่วนตนเองถอยไปอยู่ด้านหลังของเยี่ยนจิ่วเฉา
เยี่ยนจิ่วเฉาขยับปลายนิ้วเล็กน้อย พลังภายในเย็นเฉียบสายหนึ่งก็พุ่งผ่านม่านไป และตรงสะกดจุดของสาวกหญิง
ภาพตรงหน้าของสาวกหญิงดับวูบ แล้วล้มลงบนพื้น
ในตอนนั้นเยี่ยนจิ่วเฉาจึงค่อยพาอวี๋หวั่นเดินเข้าไป
ในห้องนั้นว่างเปล่า ไม่มีบ่าวคนอื่นๆ และปราศจากการประดับประดา มีเพียงเสาสูงต้นหนึ่ง และโต๊ะสำหรับตั้งเชิงเทียนเพียงไม่กี่ตัว ทั้งหมดล้วนแต่สลักสัญลักษณ์โบราณ แสงสลัวดูลึกลับ ทำให้อดรู้สึกกลัวไม่ได้
พื้นและคานของห้องนอนล้วนทำจากไม้หนานมู่เนื้อทอง พันปีไม่ผุพัง
อวี๋หวั่นย่องเขาไปโดยอัตโนมัติ
“ราชาพ่อมดอยู่ด้านหลังหรือ?” อวี๋หวั่นจูงมือเยี่ยนจิ่นเฉา หยุดอยู่ที่ด้านหน้าม่าน
สายตาของเยี่ยนจิ่วเฉาจับจ้องไปยังผ้าม่าน เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่สะบัดแขนเสื้อ ผ้าม่านตรงหน้าก็หล่นลงมา เผยให้เห็นสาวกหญิงซึ่งล้มหมดสติอยู่บนพื้น รวมไปถึงราชาพ่อมดซึ่งนอนป่วยอยู่บนเตียง
อวี๋หวั่นตื่นตะลึงกับภาพที่เห็น และแน่นอนว่าไม่ใช่เพราะสาวกหญิงที่นอนอยู่
เตียงกว้างใหญ่ แต่สภาพกลับโกโรโกโสกว่าปกติ มีโซ่ห้อยลงมาจากเสาทั้งสี่ด้าน ล่ามอยู่กับขาของบุรุษ
ผู้อ่อนแอ
บุรุษคนนั้นผมสีขาวโพลน ใบหน้าซีดเผือด ใบหน้าตอบ ร่างกายผ่ายผอม มือข้างหนึ่งที่โผล่มาจากผ้าห่มนั้นเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก
ทว่าเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจ เรื่องที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือใบหน้า ลำคอ และมือของเขาเต็มไปด้วยรอยแผลจากยาพิษ เขาดูคล้ายกับกำลังหลับ ไม่ได้เอ่ยปากพูด กระนั้นอวี๋หวั่นเพียงมองเช่นนี้ ก็สัมผัสได้ว่าเขากำลังทนทุกข์ทรมานอยูตลอด
อวี๋หวั่นเค้นกำปั้นแน่น
เยี่ยนจิ่วเฉาเสียใจที่ปล่อยให้อวี๋หวั่นเห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้า หากรู้แต่แรกว่าราชาพ่อมดจะมีสภาพอเนจอนาถเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่ปล่อยม่านลงมา
เยี่ยนจิ่วเฉาคิดจะแขวนม่านกลับที่เดิม แต่ในครั้งนี้ อวี๋หวั่นดึงมือของเขาไว้
“ไม่จำเป็น” อวี๋หวั่นพูด เธอสูดหายใจลึก ลำคอของเธอขยับเล็กน้อย แล้วพูดว่า “ข้าเป็นหมอ ข้าไม่เป็นไร”
คำพูดนี้ ไม่รู้ว่าเพื่อปลอบตนเองหรือปลอบเยี่ยนจิ่วเฉา
เยี่ยนจิ่วเฉาจึงสะบัดแขนเสื้อ แขวนม่านกลับขึ้นที่เดิม
อวี๋หวั่นเสแสร้งไม่ไหวอีกต่อไป เธอก้มหน้า จับมือของเยี่ยนจิ่วเฉาไว้ แล้วเอ่ยถามเสียงค่อยว่า “นี่คือราชาพ่อมดหรือ? โจวจิ่นเห็นสภาพเช่นนี้ของเขาแล้วหรือ?”
ในเมื่อราชินีแม่มดพาโจวจิ่นมา เช่นนั้นเขาก็คงได้เห็นแล้ว แม้ว่าเยี่ยนจิ่วเฉาจะไม่ได้พูดออกไป แต่สายตาของเขานั้นเป็นคำตอบเรียบร้อยแล้ว
อวี๋หวั่นกดหน้าอกไว้ “ทำไมเขาถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้”
“พลังย้อนกลับ” เยี่ยนจิ่วเฉาเหลือบมองม่านผืนตรงหน้า
“พลังย้อนกลับอะไรหรือ?” อวี๋หวั่นไม่เข้าใจ
“พลังเวทย้อนกลับ” เยี่ยนจิ่วเฉาตอบ
อวี๋หวั่นเงียบไปชั่วขณะ เธอคล้ายกับจะเข้าใจ แต่ก็ไม่เข้าใจ จึงเอ่ยถามว่า “เขาทำอะไร ทำไมถึงพลังเวทย้อนกลับ”
นัยน์ตาของเยี่ยนจิ่วเฉายังคงนิ่งอยู่เช่นนั้น “เรื่องนี้ต้องถามเขาเอง”
ระดับพลังเวทของพ่อมดยิ่งสูง พลังที่สามารถใช้ได้ก็จะยิ่งมาก และยิ่งใช้พลังมาก ก็จะต้องรับพลังย้อนกลับที่มากตามไปด้วย นั่นคือเหตุผลว่าเพราะเหตุใดร่างกายของพวกเขาจึงอ่อนแอกว่าคนทั่วไป
พ่อมดดำบางคนถ่ายทอดพลังเวทย้อนกลับให้ผู้อื่น เพื่อป้องกันร่างกายตนเองอ่อนแอ แต่พ่อมดขาวกลับทำเรื่องเลวร้ายเช่นนั้นไม่ได้
แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่ได้รับพลังย้อนกลับจะมีอาการหนักเช่นนี้ พลังย้อนกลับส่วนใหญ่จะไม่มีผลกระทบต่อร่างกายเท่าไรนัก พักฟื้นสองสามวันร่างกายก็ฟื้นฟูกลับมา กระนั้นแล้วเมื่อดูจากอาการของราชาพ่อมด ก็เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ต้องเป็นเรื่องผิดธรรมชาติ
“เรื่องผิดธรรมชาติ?” อวี๋หวั่นขมวดคิ้ว “เป็นเรื่องผิดธรรมชาติอะไร? หรือว่า…”
เยี่ยนจิ่วเฉาพยักหน้า “โจวจิ่น”
อวี๋หวั่นพูดไม่ออก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]