สวี่เสียนเฟยตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น มิน่าล่ะ ฮ่องเต้ทรงไม่พอพระทัยบรรดาพ่อครัวชาววังยิ่งนัก อาหารแต่ละอย่างไม่อาจทำให้รสชาติเหมือนฝืมือไทเฮาได้ นางก็คิดว่าไทเฮาคงมีฝีมือปรุงอาหารระดับเทพเซียน ที่แท้กลับ…มีรสชาติเหมือนอาหารหมูเช่นนี้น่ะรึ?!
สวี่เสียนเฟยไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใดดี
ในยามนี้ไม่อาจเอ่ยว่ามันไม่อร่อย มิเช่นนั้นอาหารที่ไทเฮาทำก็คงไม่อร่อยยิ่งกว่า แม้จะเป็นเรื่องจริงก็ตาม
สวี่เสียนเฟยไม่ได้บอกเรื่องที่อวี๋หวั่นเป็นบุตรสาวของอวี๋เซ่าชิง พระทัยฝ่าบาทยากคาดเดา เห็นฝ่าบาทประทับใจเช่นนี้ ผีเท่านั้นที่รู้ว่าเขาจะละเว้นโทษประหารให้กับอวี๋เซ่าชิง เพราะแรงกระตุ้นจากความพึงใจนี้หรือไม่?
แม้การละเว้นโทษอวี๋เซ่าชิงจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสวี่เสียนเฟย แต่เหตุใดนางต้องลำบากทำแทนสตรีผู้นี้ด้วย?
ซั่งกวนเยี่ยนก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้เช่นกัน เพราะนางมาที่นี่เพื่อทานอาหาร และนางก็ไม่รู้จักอวี๋หวั่น หากรู้เรื่องของอวี๋หวั่นมากไป ก็ยิ่งทำให้คนรู้ว่านางมีแรงจูงใจอื่นแอบแฝง
หลังจากนั้น อวี๋หวั่นก็ทำเครื่องเคียงมาอีกหลายอย่าง เช่น เครื่องในแกะผัดพริกหยวก ไข่เจียวกุยช่าย มะเขือต้ม ยำถั่วงอก ทว่าท้องของฮ่องเต้แน่นจนไม่เหลือพื้นที่ให้ยัดสิ่งใดลงไปได้อีก ด้วยน้ำพระทัยอันกว้างขวาง ฝ่าบาทจึงมอบอาหารที่เหลือให้กับชาววังของตำหนักเสียนฝู
ชาววังต่างร้องห่มร้องไห้ ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ
ฮ่องเต้รู้สึกได้ว่าพวกเขากำลังร้องไห้จริงๆ ไม่ได้แสร้งทำดังเช่นที่ผ่านมา พวกเขาคงเห็นอกเห็นใจในความทุกข์ทรมานที่ตัวเขากับไทเฮาได้รับในอดีต
ชาววังผู้ร้องไห้น้ำตาดังสายฝน : ฝ่าบาทท่านคิดไกลเกินไปแล้ว พวกเราร้องไห้เพราะอาหารตรงหน้าเท่านั้นจริงๆ…
ฮ่องเต้จับมือสวี่เสียนเฟย “เสียนเฟยช่างเห็นอกเห็นใจข้า”
สวี่เสียนเฟยได้ยินคำนี้จากปากของฮ่องเต้เป็นครั้งที่สอง เห็นได้ชัดว่าความรู้สึกหนักแน่นกว่าครั้งแรกนัก ทว่าสวี่เสียนเฟยก็ดีใจไม่ออก นี่ไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการ ยิ่งฮ่องเต้ชื่นชมนางเท่าไหร่ นางก็ยิ่งเจ็บช้ำใจมากเท่านั้น
ฮ่องเต้มีความสุขกับการเสวยพระกระยาหาร ย่อมต้องตบรางวัลให้ พระองค์มอบรางวัลให้อวี๋หวั่นด้วยเงินหนึ่งร้อยตำลึง ไม่เพียงเท่านั้น เขายังหยิบพู่กันและเขียนว่า ‘แม่ครัวมือหนึ่งในใต้หล้า’ ด้วยพระองค์เอง
สวี่เสียนเฟยแทบจะระเบิด ฝีมือการทำอาหารที่รสชาติเหมือนอาหารหมูนั่นน่ะหรือ ที่คู่ควรกับ ‘แม่ครัวมือหนึ่งในใต้หล้า’?!
ข่าวแพร่สะพัดไปถึงห้องครัวเล็กๆ
อวี๋หวั่น “ข้ารู้ว่าข้าเป็นม้าพันลี้ ต้องมีสักวันหนึ่งที่ข้าได้พบกับป๋อเล่อ[1]ของตนเอง”
นายท่านฉิน “???”
…
เรื่องที่จู่ๆ พ่อครัวของหอจุ้ยเซียนก็ได้รับการชื่นชมจากฮ่องเต้แพร่สะพัดไปทั่ววังหลวง ฮ่องเต้ได้ยกความดีความชอบให้กับสวี่เสียนเฟย ตกเย็น เหล่าบรรดานางสนมน้อยใหญ่ต่างพากันมาแสดงความยินดีกับสวี่เสียนเฟยที่ตำหนักเสียนฝู สวี่เสียนเฟยรู้สึกขุ่นเคืองแทบสิ้นใจ
ฮ่องเต้ยกความดีความชอบให้นางแล้วมีประโยชน์อันใด? นางไม่อาจขยับแม้แต่ผมเส้นเดียวของสตรีผู้นั้นได้เลยหรือ? นางทำอาหารรสชาติฝีมือไทเฮาได้ หากวันใดฮ่องเต้ทรงคะนึงหาพระมารดาของพระองค์ ก็คงจะทรงเรียกตัวนางมาเข้าวังเพื่อทำอาหารให้อีก…
เพียงคิดถึงเรื่องนี้ สวี่เสียนเฟยก็รู้สึกโกรธแค้นดังไฟสุมทรวง นางไม่น่าเรียกนางหญิงผู้นั้นมาเข้าวังเลย
“พระสนม ทรงพักให้พระทัยเย็นหน่อยเพคะ” มามาผู้ดูแลยื่นชามกุยหลิงกาว[2]ให้นาง
สวี่เสียนเฟยหยิบชามมา ใช้ช้อนตักพลางเอ่ยเสียงเย็นชา “นางกำลังเลียนแบบข้ารึ?”
ในยามนั้น เพราะสวี่เสียนเฟยถูกคนเหยียบย่ำ จึงได้พบกับจุดเปลี่ยนของชีวิต ทุกอย่างเป็นเพราะนางเข้าตาจนจึงต้องยอมเสี่ยงปลูกผักในวังหลังตามอย่างไทเฮา หลังจากนั้น ก็มีคนมากมายคิดจะทำตาม ทว่าเรื่องเช่นนี้ มีได้เพียงครั้งเดียว เมื่อฮ่องเต้ทรงเห็นการกระทำเช่นนี้มากเข้า ก็ไม่ได้รู้สึกสนพระทัยอีก
ครั้นเมื่อลี่เฟยหมดความโปรดปราน นางจึงพยายามทำขนมอวี๋เฉียน ทว่าแทนที่จะสร้างความประทับใจให้กับฮ่องเต้ ฮ่องเต้กลับยิ่งรู้สึกรังเกียจ
สวี่เสียนเฟยทราบดีว่าคำกล่าวหาของนางไม่อาจใช้ได้ และอวี๋หวั่นก็ไม่เคยลิ้มรสอาหารของไทเฮามาก่อน จะมีเจตนาเลียนแบบรสชาติของไทเฮาได้อย่างไร ไม่มีอย่างอื่นนอกจากประสงค์ของสวรรค์
“เมื่อรู้ว่าสตรีผู้นี้สามารถทำให้ฮ่องเต้ทรงพอพระทัยได้มากถึงเพียงนี้ ข้าก็…”
วาจาหลังจากนั้น สวี่เสียนเฟยไม่ได้เอ่ยต่อ
เมื่อเรื่องกลายเป็นเช่นนี้ ครั้นจะเอ่ยสิ่งใดอีกก็สายเกินไปเสียแล้ว
ตกกลางคืน อวี๋หวั่นกับชั่งกวนเยี่ยนก็เดินทางออกจากวังหลวงไปพร้อมกัน นายท่านฉินที่รู้จักความเหมาะสมจึงไม่เข้าไปรบกวนพวกนาง และเดินอยู่ด้านหลังกับพ่อครัวอีกสองคน หลังจากคนทั้งสองขึ้นรถม้า เขาและพ่อครัวจึงค่อยขึ้นรถม้าของตนเองกลับหอจุ้ยเซียน
รถม้าของซั่งกวนเยี่ยนหรูหรางามประณีตพอๆ กับอาภรณ์ที่นางสวมใส่ อวี๋หวั่นรู้สึกว่าเธอไม่ได้นั่งรถม้า ทว่าเป็นพาหนะของเหล่าเทพเซียน
ภายในรถม้าค่อนข้างเงียบ
“เรื่องวันนี้ ต้องขอบคุณพระชายาแล้ว” อวี๋หวั่นกล่าวขอบคุณนาง แม้ว่าชั่งกวนเยี่ยนจะแต่งงานใหม่กับสกุลเซียวไปแล้ว ทว่าเธอได้ยินว่าลุงวั่นเรียกนางเช่นนั้น เธอจึงเรียกตาม
ชั่งกวนเยี่ยนมิได้ยินดียินร้ายกับคำเรียกนั้น ชั่งกวนเยี่ยนจำได้ดีว่าดรุณีผู้นี้เคยฉีกหน้านาง นางให้สตรีผู้นี้พาเด็กๆ ไปที่คฤหาสน์สกุลเซียว ทว่านางกลับฟังเด็กๆ และพาพวกเขาไปยังจวนคุณชายแทน
นางผูกพยาบาทยิ่งนัก!
ซั่งกวนเยี่ยนฮึดฮัด ไร้ซึ่งความรักและเมตตาต่อเธอ ต่างจากตอนอยู่ต่อหน้าสวี่เสียนเฟย พร้อมกับกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าหาได้ทำเพื่อเจ้า!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]