ท่าทางที่ประมุขมารดูแลเยี่ยนเสี่ยวซื่อสุดหัวใจ และท่าทางที่เยี่ยนเสี่ยวซื่อยอมรับการดูแลจากเขาโดยไร้ความหวาดระแวงสงสัย ทำให้คนนึกถึงคำสองคำ ‘เหมาะสม’
ใช่ คนทั้งสองอยู่ด้วยกัน ดูเหมาะสมอย่างบอกไม่ถูก
เยี่ยนเสี่ยวซื่อกินอย่างเอร็ดอร่อย ราวกับกระรอกอ้วน ดวงตาสดใสเป็นประกาย แต่แววตาของประมุขมารกลับจดจ้องและอ่อนโยน
ดวงตาประมุขศักดิ์สิทธิ์สั่นไหว
ผู้บำเพ็ญมารรวมกับผู้บำเพ็ญสายตรงก็ไม่ได้รับพรจากสวรรค์ แต่เยี่ยนเสี่ยวซื่อ พูดให้ชัดแล้วไม่นับว่าเป็นผู้บำเพ็ญสายกลาง นางเป็นอะไร อันที่จริงประมุขศักดิ์สิทธิ์ก็ตอบไม่ได้ แต่แน่นอนว่านางไม่เหมือนผู้ใดในโลก
เติบโตจนมีอายุเพียงนี้ ชีวิตของโจวจิ่นเป็นเพียงระยะบำเพ็ญช่วงหนึ่งที่ไม่ถึงสิบสองปีเต็ม ซึ่งแทบจะเทียบไม่ได้กับอายุขัยของเขาเลยแม้แต่ส่วนเดียว
ดังนั้น นั่นเป็นความรู้สึกที่ไม่ควรมี
เป็นความฝังใจยึดติดในโลกีย์ของเขา
เป็นความล้มเหลวแห่งการบำเพ็ญ
แต่ผู้ที่เย่อหยิ่งเช่นประมุขศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีวันยอมให้ตนเองล้มเหลว
เขาเป็นประมุขศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่โจวจิ่น
ยามที่ประมุขศักดิ์สิทธิ์ปรากฏตัวต่อหน้าเยี่ยนเสี่ยวซื่อและประมุขมารอีกครั้ง สีหน้าของเขาก็ได้กลับสู่ความเย็นชาในอดีต
เยี่ยนเสี่ยวซื่อยื่นน่องกระต่ายใหญ่ที่เหลือให้เขา “ประมุขศักดิ์สิทธิ์ อยากกินหรือไม่?”
“ไม่” เขาเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ
“โอ้” จากนั้นเยี่ยนเสี่ยวซื่อก็หันไปมองประมุขมาร “ท่านพี่เสี่ยวเจายังกินหรือไม่?”
“เจ้ากินเถอะ” ประมุขมารเอ่ยกับเยี่ยนเสี่ยวซื่อ พลางเหลือบมองประมุขศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่ให้เป็นที่สังเกต
เยี่ยนเสี่ยวซื่อกินกระต่ายที่เหลืออย่างเชื่อฟัง
…นางยังไม่อิ่ม
แน่นอน ประมุขมารรู้ว่านางยังไม่อิ่ม ยามนี้พลังของนางฟื้นแล้ว พลังวิญญาณในร่างกายของนางกำลังไหลเวียนอย่างรวดเร็ว บริโภคมหาศาล สัตว์วิญญาณในดินแดนด้านล่างไม่เพียงพอต่อความต้องการของนาง
ต้องหาอาหารให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นนางจะหิวจริงๆ
“ไปกันเถอะ” ประมุขมารกล่าว
เยี่ยนเสี่ยวซื่อไม่รู้ว่าพวกเขากำลังหาอาหารให้ตน แต่ก็ไม่ได้คัดค้านการเดินทางตอนกลางคืน
ทั้งสามคนเดินต่อไปทางตะวันออกเฉียงใต้
หลังจากเดินทางหลายร้อยหลี่ คราวนี้เรียกว่าพวกตนค้นพบได้จริงๆ เสียที เป็นโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง
แม้จะทรุดโทรมไปบ้าง ไม่เหมือนสิ่งปลูกสร้างที่ควรมีในดินแดนด้านบน ทว่าเมื่อเทียบกับความรกร้างไร้ผู้คน เช่นนี้ก็นับว่าไม่เลวทีเดียว
ดินแดนด้านบนไม่ได้มีแต่ผู้เลื่อนขั้นเป็นเซียนที่เก่งกาจ บางคนเลื่อนขั้นเป็นเซียนมาที่นี่ พบคู่ชะตาบำเพ็ญเพียรที่รักและมีบุตรด้วยกัน จึงมีลูกหลานสืบสกุลต่อมา
ในบรรดาทายาทเหล่านี้ บ้างก็เกิดมาพร้อมกับคุณสมบัติ บ้างก็ไม่ต่างจากคนทั่วไป แม้แต่ผู้มีคุณสมบัติยังต้องผ่านการฝึกฝนอย่างหนัก เพื่อบรรลุระดับที่น่าพอใจ
แน่นอน เพราะพลังวิญญาณหนาแน่น การบำเพ็ญในดินแดนด้านบนจึงรวดเร็วกว่าดินแดนด้านล่าง
เสี่ยวเอ้อร์ในโรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นผู้บำเพ็ญระดับไท่ซวี
ระดับไท่ซวีในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นเช่นจัทราในหมู่ดาว ทว่าสำหรับที่นี่กลับเป็นได้เพียงเสี่ยวเอ้อร์
โรงเตี๊ยมไม่ปิดร้าน
แต่อย่างไรก็เป็นกลางคืน โรงเตี๊ยมจึงเงียบสงัด
เมื่อทั้งสามมาถึงหน้าประตู เสี่ยวเอ้อร์กำลังเหม่อลอย
ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมา เขาหันไปมองปราดหนึ่ง เห็นผู้บำเพ็ญที่เลื่อนขั้นเป็นเซียนหน้าใหม่สองคน จึงเอ่ยอย่างเฉยเมย ไม่กระตือรือร้น “ไม่มีอาหารให้กิน มีแต่ห้องพัก ศิลาวิญญาณหนึ่งก้อนต่อหนึ่งห้อง”
ประมุขมารโยนศิลาวิญญาณสี่ก้อนให้เขา เกินไปก้อนหนึ่ง
เสี่ยวเอ้อร์มองศิลาวิญญาณที่ส่องประกายแวววาวบนโต๊ะ ดวงตาพลันเบิกกว้าง
ศิลาวิญญาณแบ่งออกเป็นระดับต่างๆ ตั้งแต่ขั้นเจ็ดถึงขั้นหนึ่ง ขั้นเจ็ดมีสิ่งสกปรกเจือปนมากที่สุด ส่วนขั้นหนึ่งบริสุทธิ์ที่สุด ของส่วนใหญ่ในตลาดใช้ศิลาวิญญาณขั้นหกถึงขั้นสี่ ศิลาวิญญาณขั้นหนึ่งหาได้ยากนัก
ท่าทีเสี่ยวเอ้อร์เปลี่ยนไปทันที เขาเก็บศิลาวิญญาณสามก้อนลงในลิ้นชัก อีกก้อนใส่ลงในกระเป๋าเสื้อของตน และมองทั้งสามด้วยรอยยิ้มเริงร่า
จากนั้นเขาก็ตระหนักว่าการปรากฏตัวของทั้งสามแปลกประหลาดเกินไป
สถานที่ซึ่งสนใจเพียงความแข็งแกร่งมิใช่หน้าตาอย่างที่นี่ ไม่มีผู้ใดสนใจว่าใครจะมีหน้าตาเช่นไร แต่หากสนใจ เช่นนั้นก็หมายความว่าอีกฝ่ายดูดีระดับหนึ่งทีเดียว
“มองพอหรือยัง?” ประมุขมารถามด้วยน้ำเสียงอันตราย
เสี่ยวเอ้อร์ได้สติทันที โดยปกติคนพื้นถิ่นไม่เห็นผู้เลื่อนขึ้นใหม่ในสายตา ทว่าจู่ๆ อีกฝ่ายก็ควักศิลาวิญญาณขั้นหนึ่งออกมาสี่ก้อนในคราวเดียว เห็นได้ชัดว่ามั่งคั่งร่ำรวย ไม่แน่ว่าอาจเป็นศิษย์สำนักใหญ่ที่ใด
เช่นหลังจากอาจารย์ปู่แห่งสำนักฉางเตาเลื่อนขั้นเป็นเซียนมาที่นี่ ก็ได้เปิดสำนักฉางเตาแห่งใหม่ ต่อไปหากสำนักมีผู้เลื่อนขั้นใหม่ ก็จะรับเข้าสำนักฉางเตาแห่งดินแดนด้านบนต่อไป
แต่ไม่รู้ว่าทั้งสามเป็นศิษย์สำนักใด?
นิกายวั่นเจี้ยนหรือวังไป่ฮวา?
ในแง่ความแข็งแกร่ง นิกายวั่นเจี้ยนเป็นอันดับหนึ่ง แต่ในแง่ของรูปลักษณ์ ผู้ใดจะงดงามไปกว่าวังไป่ฮวา?
หากเป็นคนจากสองสำนักนี้…
ดวงตาของเสี่ยวเอ้อร์กลิ้งกลอกไปมา ถามด้วยรอยยิ้มว่า “พวกท่านก็จะไปล่าสมบัติใช่หรือไม่? กล่าวอย่างไม่ปิดบัง ข้ามีหนทาง หากทั้งสามท่านต้องการคนนำทาง ข้าสามารถแนะนำพวกเขาได้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]