อวี๋หวั่นไม่ได้พบหน้าพ่อแม่มานาน แม้ว่าก่อนหน้านี้ราชาพ่อมดจะบอกไว้แล้วว่าพ่อกับแม่ของเธอไม่เป็นไร แต่หากยังไม่ได้เห็นว่าทั้งสองเป็นอย่างไร อวี๋หวั่นก็ยังไม่วางใจ
เมื่อเห็นว่าทั้งสองอยู่ตรงหน้าของเธอโดยปราศจากรอยขีดข่วน อวี๋หวั่นจึงถอนหายใจยาวๆ อย่างโล่งอก
อวี๋เซ่าชิงอุ้มทารกน้อยออกไปเล่นอย่างสบายอารมณ์ ส่วนแม่ลูกก็นั่งสนทนากันอยู่ในห้อง
อวี๋หวั่นรู้ความจริงหลังจากที่พวกเขาตกลงไปในโพรงจากนางเจียง นอกจากพวกเขาทั้งสองแล้ว ผู้ที่ตกลงไปในโพรงในวันนั้นมีร่างหุ่นเชิดของหลัวช่าวิญญาณอีกตัวหนึ่ง หลังจากที่ร่างนั้นตกลงไปในโพรงไร้ที่สิ้นสุด ก็ขาดการติดต่อกับหลัวช่าวิญญาณ และกลายเป็นเพียงซากศพเน่าเฟะ ส่วนนางเจียงและอวี๋เซ่าชิงหล่นลงไปในโพรงนั้นนานกี่ชั่วยามก็ไม่อาจรู้ได้
เห็นทีที่เผ่าพ่อมดเรียกหลุมนั้นว่าโพรงไร้ที่สิ้นสุดก็มิใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลเสียทีเดียว
อวี๋เซ่าชิงลองคว้าสิ่งต่างๆ รอบข้าง เช่นเถาวัลย์และก้อนหิน กระนั้นขณะที่ตกลงไป ก็ไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาสามารถเกาะได้ จึงทำได้เพียงตกลงไปเช่นนั้น
โพรงไร้ที่สิ้นสุดนั้นมืดสนิท ไม่รู้ว่าตกลงนานเท่าไร อยู่ๆ ก็มีลมพัดขึ้นมา ไม่รู้ว่าในลมนั้นมีสิ่งใดผสม ทำให้ทั้งสองผล็อยหลับไป เมื่อพวกเขาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าตนเองอยู่ในถ้าที่มืดมิดแล้ว
ในถ้ำนี้คล้ายกับว่าจะมีลมพัดเข้ามา
ถ้ำนี้มีอากาศถ่ายเท แสดงว่าส่วนหนึ่งของถ้ำนี้เชื่อมต่อกับโพรงไร้ที่สิ้นสุด ความเป็นไปได้อีกข้อหนึ่งก็คือที่นี่เป็นอีกที่หนึ่ง ที่นี่อาจเป็นกุญแจสำคัญที่พวกเขาจะออกไปจากโพรงไร้ที่สิ้นสุดได้
ทั้งสองเดินไปตามเส้นทางในถ้ำ จนในที่สุดก็ออกมาได้
เพียงแต่ว่า ที่นั่นอยู่ห่างจากเผ่าพ่อมดมาก ทั้งสองไปสืบความและรู้มาว่าอวี๋หวั่น เยี่ยนจิ่วเฉา กับคนอื่นๆ เดินทางออกจากเผ่าพ่อมดแล้ว จึงเดาว่าทั้งสองกลับต้าโจว จึงรีบตามกลับมา
“แค่นี้เองหรือ?” ทำไมอวี๋หวั่นรู้สึกว่ามันออกจะฟังดู…ง่ายดายเดินไป
นางเจียงกะพริบตาปริบๆ “แค่นี้แหละ”
ยกเว้นแต่เรื่องที่จับเจ้าสามทำอย่างนั้นอย่างนี้ อย่างนั้นอย่างนี้ อย่างนั้นแล้วก็อย่างนี้ อย่างนั้นแล้วก็อย่างนี้
“เหตุใดท่านไปนานขนาดนั้นเล่า” อวี๋หวั่นคิดว่าตกลงไปในโพรงไร้ที่สิ้นสุดไม่น่าเกินสามวันสามคืน สลบอยู่ในถ้ำก็ไม่น่าจะนาน ไม่ว่าจะคำนวณอย่างไร ทั้งสองก็ไม่ควรกลับมาถึงต้าโจวช้าเช่นนี้
นางเจียงไม่มีทางยอมรับว่านางทำอะไร จึงตอบด้วยท่าทางป่วยกระเสาะกระแสะว่า “แม่ร่างกายไม่แข็งแรง เร่งรีบเดินทางไม่ไหว”
“ก็จริง” อวี๋หวั่นเห็นด้วยกับสิ่งที่นางพูด “ลำบากท่านแม่แย่เลยเจ้าค่ะ”
นางเจียงพยักหน้า ใช่แล้วๆ ลำบากมากเลยละ
ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่นั้น ก็มีเสียงดังมาจากด้านนอก อวี๋หวั่นได้ยินเสียงของอิ่งลิ่วซึ่งกำลังสนทนากับคนอื่น เธอจึงเดินออกไปมองข้างนอก แล้วถามด้วยความสงสัยว่า “อิ่งลิ่ว เกิดอะไรขึ้นในจวนหรือ?”
เธอไม่ได้พูดเสียงดัง แต่ก็ดังพอที่ยอดฝีมืออย่างอิ่งลิ่วจะได้ยิน
อิ่งลิ่วเดินเขาไปในห้อง คำนับอวี๋เซ่าชิงครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ยืนรายงานอยู่ด้านนอกฉากกั้น “เรียนฮูหยินน้อย ในจวนจับราชาศักดิ์สิทธิ์ได้สี่คน ท่านอ๋องกำลังจะสอบสวนพวกเขา ข้าจึงเรียกองครักษ์ความสามารถสูงให้พาพวกเขาไปยังห้องสอบสวนขอรับ”
“จับราชาศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว? กี่คนหรือ” เมื่อครู่มัวแต่สนใจเรื่องท่านพ่อท่านแม่กลับมา ไม่ได้ยินเรื่องอื่น
อิ่งลิ่วพูดว่า “ขอรับ จับได้สี่คน”
ไม่ได้บอกว่าใครเป็นคนจับ
เพราะบอกไม่ได้
พูดไปแล้วเขาคงโดนต่อยจนสะบักสะบอม
อวี๋หวั่นไม่ได้ซักไซ้ “ลำบากพวกเจ้าแล้ว ไปทำงานต่อเถอะ”
“ข้าน้อยขอตัวก่อน!” อิ่งลิ่วออกไปจากห้อง
อวี๋หวั่นลูบคาง “เผ่าศักดิ์สิทธิ์มีราชาศักดิ์สิทธิ์ตั้งหลายคน…แต่เผ่าพ่อมดกลับมีราชาพ่อมดเพียงคนเดียว ดูแล้ว
เผ่าศักดิ์สิทธิ์กับเผ่าพ่อมดนั้นต่างกันมาก…แต่ว่า ราชาศักดิ์สิทธิ์จะมากขนาดไหน สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ต่อเยี่ยนอ๋องรึ?”
เมื่ออวี๋หวั่นพูดถึงประโยคสุดท้าย ในดวงตาของเธอก็เปี่ยมไปด้วยความยกย่องเยี่ยนอ๋อง
เธอไม่ได้สงสัยว่าใครเป็นคนทำเรื่องนี้ เมื่อครู่อิ่งลิ่วไมได้บอกหรอกหรือว่าในจวนจับราชาศักดิ์สิทธิ์ได้สี่คน? ยอดฝีมือในจวนนอกจากเยี่ยนจิ่วเฉา ก็ยังมีอิ่งสือซัน แต่ด้วยพลังของอิ่งสือซัน จัดการราชาศักดิ์สิทธิ์คนเดียวก็อาจไม่ไหว หากจะให้จับถึงสี่คน เกรงว่าคงจะไม่ง่ายปานนั้น ต้องใช้พลังความบ้าคลั่งเข้าสู้!
นางเจียงรู้สึกอึดอัดใจ ใช้ความบ้าคลั่งนั่นแหละ!
นัยน์ตาของอวี๋หวั่นเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ “ต้องเป็นเพราะท่านพ่อใช้สติปัญญาในการเอาชนะเป็นแน่! ข้าตัดสินใจแล้ว หลังจากวันนี้เป็นต้นไป ท่านพ่อเป็นคนที่ข้ายกย่อง!”
นางเจียงหน้าง้ำงอ “ถ้าข้าบอกว่า…ข้าเป็นคนจับเขามา เจ้าจะเชื่อไหม?”
อวี๋หวั่นชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็มองไปยังนางเจียง “ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ…ท่านแม่ ท่านตลกจังเลย!”
นางเจียงอุ้มเยี่ยนเสี่ยวซื่อขึ้นมาด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
เยียนเสี่ยวซื่อตื่นขึ้นเพราะแรงวูบหนึ่ง ใบหน้าของนางแลดูมึนงง
ข้าเป็นใคร ข้าอยู่ที่ไหน ข้าจะทำอะไร
เป็นอีกค่ำคืนอันแสนวุ่นวายในจวนคุณชาย
อิ่งลิ่วและอิ่งซือซันหยิบเหล็กนิลซึ่งนำมาจากหมิงตูออกมา แล้วใส่ตรวนทั้งมือและเท้าให้ราชาศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ โซ่เหล็กนิลสามารถควบคุมหลัวช่าโลหิตได้ ไม่คิดเลยว่าจะสามารถใช้การกับคนเผ่าศักดิ์สิทธิ์ได้ด้วย แม้ว่าจะไม่ถึงกับทำให้พวกเขาเจ็บปวด แต่ก็สามารถกดพลังที่พวกเขามีในตอนนี้ได้ ทำให้พวกเขาไม่สร้างเรื่อง
นี่เป็นห้องลับใต้ดิน ภายหลังถูกสร้างเป็นห้องสำหรับสอบสวน ทั้งสี่คนนั่งอยู่บนเก้าอี้เย็นเฉียบ สายตาจ้องเขม็งไปยังเยี่ยนอ๋อง
ถึงแม้เจ้าหัวขโมยนั้นจะจับพวกเขาฟาดจนระดับลดลง แต่พวกเขาก็ยังคงเป็นราชาศักดิ์สิทธิ์ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่เหมือนกับทหารคนก่อนหน้านี้ ไม่ทันไรก็ยอมพูดออกมาแล้ว
เยี่ยนอ๋องเป็นบุรุษที่ไร้วรยุทธ์ ทั้งยังเป็นบุรุษรูปงามหาผู้ใดเปรียบ มาต้าโจวนานถึงเพียงนี้ ต้องบอกว่าต้าโจวนั้นมีชัยภูมิที่ดี ผู้คนเป็นเลิศ และอาจเป็นเพราะเหตุนี้เอง ทางเข้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์จึงปรากฏที่นี่ หรืออาจเป็นเพราะทางเข้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่นี่ จึงทำให้ต้าโจวเป็นเช่นนี้
กระนั้นความงดงามภายนอกก็ไม่เพียงพอให้ราชาศักดิ์สิทธิ์ยอมศิโรราบ…นอกเสียจากราชาศักดิ์สิทธิ์ประจิม
ราชาศักดิ์สิทธิ์สิทธิ์ประจิมเชิดชูราชาศักดิ์สิทธิ์ทักษิณมาโดยตลอด หนึ่งในเหตุผลที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะความสามารถ
ของราชาศักดิ์สิทธิ์ทักษิณ อีกหนึ่งเหตุผลก็เป็นเพราะความหล่อเหลาของราชาศักดิ์สิทธิ์ทักษิณ เขาเป็นบุรุษรูปงามที่พบได้ไม่มากในเผ่าศักดิ์สิทธิ์ ถึงแม้จะย่างเข้าวัยกลางคนก็ยังมีเสน่ห์ไม่เสื่อมคลาย
ราชาศักดิ์สิทธิ์ประจิมคิดว่าในชีวิตนี้ นางไม่มีทางพบบุรุษคนใดที่มีเสน่ห์ไปกว่าราชาศักดิ์สิทธิ์ทักษิณอีกแล้ว
ทว่าเมื่อเห็นเยี่ยนอ๋อง ราชาศักดิ์สิทธิ์ประจิมก็เปลี่ยนความคิดในทันใด
อีกทั้ง ราชาศักดิ์สิทธิ์ประจิมยังคิดอยากแก้ต่างว่าตนมิได้ชื่นชมคนเพียงเพราะหน้าตา นางหลงใหลราชาศักดิ์สิทธิ์ทักษิณก็เพราะหน้าตาและความสามารถ ทว่าแท้จริงแล้ว แค่หน้าตาก็เพียงพอแล้ว ความสามารถนั้นเป็นเรื่องรอง!
ราชาศักดิ์สิทธิ์ประจิมมองไปยังเยี่ยนอ๋อง ยิ่งมองยิ่งหลงใหล
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]