จากข้อมูลที่เยี่ยนอ๋องได้จากราชาศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ กองทัพของเผ่าศักดิ์สิทธิ์เข้ามาในเขตแดนต้าโจวจากหลายเส้นทาง ในขณะเดียวกัน จากส่งจดหมายที่อิ่งลิ่วส่งผ่านนกพิราบมา ก็ทำให้ยืนยันได้อีกว่าราชาศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ไม่ได้โกหก ทั้งยังช่วยเสริมข้อมูลที่พวกเขามีอยู่อีกด้วย
ที่แท้หลังจากที่กองทัพของเผ่าศักดิ์สิทธิ์เข้ามาในเขตแดนของต้าโจว พวกเขาก็ตรงไปยังทิศทางเดียวกัน โดยมีที่หมายคือเมืองอวี่
เมืองอวี่อยู่ห่างจากเมืองเยี่ยนไม่ถึงหนึ่งร้อยหลี่ และมีกองทัพเรือประจำการอยู่ ทว่าหากว่ากันโดยภาพรวมแล้ว เมืองอวี่ใช้พลเดินเท้าเป็นหลัก เหตุผลหลักที่ใช้เมืองอวี่เป็นที่รวมพล หนึ่งก็เพราะความร่วมมือระหว่างพวกเขาและเยี่ยนไหวจิ่งได้แตกหักกันแล้ว พวกเขาไม่มีทางแยกกันเดินทางไปยังเมืองหลวงโดยไร้ร่องรอย พวกเขาจึงถูกปล่อยไว้ที่เมืองอวี่ เหตุผลที่สองก็เพราะมีส่วนหนึ่งของกองทัพเผ่าศักดิ์สิทธิ์เดินทางมาทางน้ำ ทว่าเมืองเยี่ยนควบคุมอย่างเข้มงวด พวกเขาจึงไม่สามารถเทียบท่าที่เมืองเยี่ยนได้ จำต้องหันหัวเรือไปยังเมืองอวี่แทน
กว่าอิ่งลิ่วจะเดินทางไปถึงก็สายไปเสียแล้ว เมืองอวี่ถูกกองทัพของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ยึดไว้แล้ว เรื่องนี้จะกล่าวโทษว่าเยี่ยนอ๋องคำนวณพลาดก็คงไม่ได้ อันที่จริงเยี่ยนอ๋องเคยให้ข้อมูลนี้กับเยี่ยนไหวจิ่งไปแล้ว ว่าอีกฝ่ายมีกำลังพลหนึ่งหมื่นนาย ทหารหนึ่งหมื่นนายยังสามารถอำพรางตัวได้ ไม่นับว่าอับจนหนทางเสียทีเดียว พวกเขาคงไม่ถึงกับยึดเมืองทั้งเมือง ทว่าทหารหนึ่งแสนนายนั้นต่างออกไป จะให้ไปซ่อนตัวที่ใดเล่า พวกเขาจึงยึดเมืองอวี่อย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง
อิ่งลิ่วลอบเข้าไปสืบข้อมูลในเมืองอวี่ กองทัพของเมืองอวี่ถูกถล่มจนราบคาบ เขาเล่าว่ากองทัพของเผ่าศักดิ์สิทธิ์มีทหารประมาณแปดหมื่นนาย เขาไม่รู้ว่าที่จริงแล้วอีกฝ่ายมีกำลังพลถึงหนึ่งแสนนาย เขาก่นด่าเยี่ยนไหวจิ่งอยู่ในใจ หนึ่งหมื่นกับแปดหมื่นต่างกันมาก เยี่ยนไหวจิ่งถูกลาเตะจนสมองเสื่อมหรืออย่างไรถึงถูกหลอกง่ายเช่นนี้
“อิ่งลิ่วไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วมีทหารหนึ่งแสนนาย” เยี่ยนอ๋องวางจดหมายลง เขาสัมผัสได้ถึงโทสะจากจดหมายของอิ่งลิ่ว “แต่จะว่าไป ราชาศักดิ์สิทธิ์สี่คนนั้นบอกว่ากองทัพมีทหารหนึ่งแสนคน แล้วอีกสองหมื่นคนหายไปไหนเล่า”
เยี่ยนอ๋อง อิ่งสือซัน และอวี๋เซ่าชิงนั่งอยู่ในห้องหนังสือของเยี่ยนอ๋อง
อวี๋เซ่าชิงมองไปยังแผนที่บนโต๊ะ กล่าวตามตรง เขาประจำการอยู่ที่ซีเป่ยหลายปี ค่อนข้างคุ้นเคยกับสภาพภูมิประเทศของซีเป่ย พื้นที่แถบเมืองอวี่เขาก็เคยผ่าน แต่พวกเขารีบเดินทาง มิได้ใส่ใจเรื่องกองทัพของเมืองอวี่
“ยังมีทหารอีกสองหมื่นนายอยู่ระหว่างทาง?” อวี๋เซ่าชิงพึมพำ
เยี่ยนอ๋องพยักหน้า “น่าจะเป็นเช่นนั้น”
“เป็นกองทัพเรือหรือ?” อวี๋เซ่าชิงถาม
“เป็นไปได้” เยี่ยนอ๋องตอบ
ราชาศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นไม่รู้ล่วงหน้าว่าจะถูกเยี่ยนอ๋องจับได้ ไม่มีทางให้ข้อมูลผิด พวกเขาบอกว่ามีทหารทั้งหมดหนึ่งแสนคน ก็หมายความว่าต้องมีอย่างน้อยหนึ่งแสนคน ส่วนประเภทของทหารนั้นพวกเขาไม่รู้ เรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาต้องใส่ใจ
พวกเขาได้รับคำสั่งมาให้ตามหาทางเข้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์และไข่มุกวิญญาณ ส่วนเรื่องสงครามกับต้าโจวนั้นอยู่ในความรับผิดชอบของคนอื่น
“ราชาศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นได้บอกเกี่ยวกับแม่ทัพหรือไม่?” อวี๋เซ่าชิงถาม
เยี่ยนอ๋องส่ายหน้า “เผ่าศักดิ์สิทธิ์เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ราชาศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นไม่ค่อยรู้เรื่องราวของกองทัพ แต่พวกเขาบอกว่าในกองทัพยังมียอดฝีมือระดับเดียวกับพวกเขาด้วย”
“พวกเขาไม่ได้ทำไข่มุกวิญญาณหายหรอกหรือ? ทำไมถึงได้มีราชาศักดิ์สิทธิ์มากมายเช่นนั้น!” อวี๋เซ่าชิงได้ฟังเรื่องเกี่ยวกับไข่มุกวิญญาณมาบ้าง เพียงแต่ว่า ทั้งสองล้วนแต่ไม่รู้ว่าหัวขโมยหญิงที่นำไข่มุกวิญญาณไปคือใคร
ทั้งจวนคุณชาย เห็นจะมีเพียงอวี๋หวั่นและอวี๋เซ่าชิงที่เดาไม่ออกว่าคนคนนั้นคือใคร
“คนเผ่าศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่ง นี่เป็นศึกที่ยากยิ่งนัก” แม้ว่าในร่างของอวี๋เซ่าชิงจะมีสายเลือดของสกุลเห้อเหลียนแห่งหนานจ้าวไหลเวียนอยู่ แต่เขาก็เติบโตที่ต้าโจว คนต้าโจวเป็นคนเลี้ยงดูเขามา เขาเป็นลูกคนที่สามของสกุลอวี๋ เป็นขุนศึกแห่งต้าโจว ศัตรูของต้าโจวก็คือศัตรูของเขา!
วันที่เจ็ดของเดือน อิ่งสือซันปลอมตัวเป็นเยี่ยนจิ่วเฉา ใช้ฐานะของผู้สำเร็จราชการไปส่งเซียวเจิ้นถิงและเยี่ยนไหวจิ่ง ราษฎรล้วนรู้ว่ากำลังจะมีสงคราม กระนั้นเมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายมีกำลังพลเพียงหนึ่งแสนคน อีกทั้งแม่ทัพเซียวเป็นคนนำทัพ พวกเขาจึงมีความเชื่อมั่นในการศึกครั้งนี้
“แม่ทัพใหญ่เซียวต้องกลับมาแน่!”
“ใช่แล้วละ! แม่ทัพใหญ่เซียวต้องจัดการเจ้าพวกนั้นจนราบคาบ! ในใต้หล้าไม่มีสงครามใดที่แม่ทัพใหญ่เซียวไม่ชนะ!”
“ถูกต้องแล้ว! ตราบใดที่มีแม่ทัพใหญ่เซียว ศึกครั้งนี้ย่อมต้องได้รับชัยชนะ!”
ในบรรดาราษฎรทั่วไป ทุกคนต่างสรรเสริญแม่ทัพใหญ่เซียว แต่คำยกย่องเชิดชูเยี่ยนไหวจิ่งกลับมีน้อยเหลือเกิน
เยี่ยนไหวจิ่งรู้สึกอึดอัดใจอยู่บ้าง แต่เขาก็มิได้รู้สึกเช่นนี้นานนัก อย่างไรเสียสงครามที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ล้วนเป็นเพราะเขาคนเดียว เทียบกับความอึดอัดใจแล้ว เขารู้สึกผิดเสียมากกว่า
เหตุที่ชาวบ้านมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ก็เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าต้าโจวกำลังเผชิญหน้ากับผู้ใด พวกเขาคิดว่ากำลังพลเพียงหนึ่งแสนนายไม่นับว่ามาก อันที่จริงก็ไม่ผิด จำนวนพลรบเท่านี้ไม่นับว่ามากมายเมื่อเทียบกับจำนวนทหารของทั้งประเทศ เซียวเจิ้นถิงออกรบมาหลายศึก ยามที่มีกำลังพลเท่ากันก็ไม่เคยแพ้ ยามที่มีกำลังพลน้อยกว่าก็ไม่เคยแพ้ ในครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยักมีท่าทีว่าจะแพ้
มีเพียงเยี่ยนไหวจิ่งที่เข้าใจว่าศึกที่พวกเขากำลังจะเผชิญหน้าในครั้งนี้เอาชนะได้ยากเพียงใด
อวี๋เซ่าชิงก็มุ่งหน้าลงใต้เช่นกัน แต่ว่าเขาไม่ได้มุ่งหน้าไปยังเมืองอวี่ หากจะบอกว่าเขามีแผนในใจก็คงได้ เขาไม่อยากให้ต้าโจวต้องเพลี่ยงพล้ำ จึงต้องหยิบยืมกองกำลังจากสกุลเห้อเหลียนเพื่อช่วยเหลือต้าโจว
ทว่านี่ก็ไม่นับว่าเขาทำเพื่อตนเองเสียทีเดียว เผ่าศักดิ์สิทธิ์เหิมเกริมไม่รู้จักพอดี ทั้งยังคิดว่าพวกตนเหนือกว่า ถ้าหากได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้แห่งต้าโจว ‘คนชั้นล่าง’ อย่างหนานจ้าวคงจะกลายเป็นเพียงมดปลวกในสายตาพวกเขา และเมื่อถึงตอนนั้น ก็จะไม่มีผู้ใดรับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรกับหนานจ้าว
ในตอนนี้ หากจะบอกว่าน้ำจำต้องพึ่งเรือและเสือจำต้องพึ่งป่าเห็นจะไม่เกินจริง
ครั้งก่อนพวกเขาเดินทางออกมาจากหนานจ้าว ได้บอกกับฮูหยินผู้เฒ่าไว้ว่าจะกลับต้าโจวไปรับเถี่ยตั้นน้อย เมื่อพูดออกไปแล้ว ก็ย่อมต้องทำให้ได้ นอกจากนั้นแล้ว สถานการณ์ในหนานจ้าวนับว่าดีกว่าต้าโจวมาก หากบุตรสาวของเขาไม่ได้อยู่ในช่วงพักฟื้นร่างกาย อวี๋เซ่าชิงก็คงพาพวกเขาไปด้วย
“อาซูเจ้ารอข้าก่อน ข้าจะรีบมารับเจ้า” อวี๋เซ่าชิงจับมือนางเจียงอย่างอาลัยอาวรณ์
นางเจียงพยักหน้า “อื้ม”
อวี๋เซ่าชิงพาเถี่ยตั้นน้อยลงใต้ เขาแยกกับกองทัพของราชสำนัก และอำพรางเส้นทางเพื่อความปลอดภัย
ส่วนอีกด้านหนึ่ง ชุยเฒ่าก็เก็บข้าวของเตรียมตัวออกเดินทางเช่นกัน
“ท่านจะไปเหมือนกันหรือ?” อวี๋หวั่นพึมพำ
“สู้รบกันไม่มีคนบาดเจ็บหรือเลือดตกยางออกเลยรึ? หรือเจ้าคิดว่าเด็กพวกนั้นเป็นเหล็กกล้าหรือย่างไร” พวกเขายังเด็กไม่ใช่หรือ เมื่อมองใบหน้าอ่อนเยาว์ไร้เดียงสาเหล่านั้น ชุยเฒ่าคิดว่าพลทหารเหล่านั้นยังไม่ทันเข้าใจชีวิต ก็อาจไม่มีชีวิตรอดกลับมาแล้ว ในใจของเขาก็พลันรู้สึกหดหู่ขึ้นมา “เอาละ ข้าไปแล้ว เจ้าดูแลตัวเองด้วย!”
อวี๋หวั่นมองไปยังจอนผมสีดอกเลาของเขา “ท่านก็อายุมากแล้ว…”
ชุยเฒ่าเดือดดาลในทันใด “หา! ตอนนี้รู้แล้วรึว่าข้าอายุมากแล้ว! ทีตอนนั้นลากข้าไปเผ่าปีศาจเผ่าพ่อมด ทำไมไม่คิดบ้างเล่าว่าข้าแก่จะลงโลงอยู่แล้ว!”
อวี๋หวั่นตอบอย่างน้อยใจว่า “ตอนนั้นผมขาวท่านไม่ได้เยอะเหมือนตอนนี้นี่นา…”
ชุยเฒ่า “…”
ชุยเฒ่าเบ้ปาก เจ้าเด็กบ้า ปกติปากคอเราะร้าย เมื่อถึงยามคับขันกลับพูดจนเขารู้สึกซึ้งใจ…
“เอาละๆ! ไม่พูดมากแล้ว! ข้าไปละ!” ชุยเฒ่าไม่คุ้นเคยกับการบอกลา เขาอยู่มาจนอายุปูนนี้แล้ว อยู่หรือตายก็ไม่สำคัญ เขาไม่มีครอบครัว ไม่มีสิ่งใดให้ต้องเป็นห่วง หากจะมีสิ่งใดที่เขาเป็นห่วง ก็เห็นจะเป็นเจ้าเด็กพวกนี้แหละ
“เรื่องของจิ่วเฉา เจ้าไม่ต้องกังวล ไม่มีเรื่องอะไรก็นับว่าเป็นเรื่องดี”
“เจ้าอย่าออกไปข้างนอกบ่อยนัก ดูแลตัวเองให้ดี คิดว่าตัวเองยังเป็นวัยรุ่นอยู่แล้วแข็งแร็งมากรึ? คิดว่าข้าไม่เคยเป็นวัยรุ่นหรืออย่างไร”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]