อวี๋หวั่นรู้สึกว่าผู้ชายอย่างจ้าวเหิง ต่อให้ฆ่าให้ตายก็ไม่อาจระบายโกรธ หากจะบอกว่าเขาเป็นคนชั่ว เขาก็ไม่ได้ละเมิดกฎหมายใด หากจะบอกว่าเขาเป็นคนดี เขาก็เคยบีบบังคับหญิงบริสุทธิ์คนหนึ่งให้ต้องตาย
ผู้ชายเช่นนี้คงเป็นคนที่น่ารำคาญที่สุดแล้วกระมัง เจ้าของร่างเดิมลืมทุกอย่างเกี่ยวกับเขาไปเกือบหมด ก็คงเพราะเจ็บปวดใจด้วยความผิดหวังถึงที่สุดแล้ว
“จ้าวเหิง เจ้าเป็นคนร่ำเรียนหนังสือเสียเปล่า ครั้นเอ่ยสิ่งใดไม่ไตร่ตรองเพียงนี้เชียวหรือ?”
แม้ว่าเธอจะไม่เคยมีประสบการณ์ส่วนตัวมาก่อน แต่เธอก็เข้าใจว่าการตรวจร่างกายมีความหมายกับผู้หญิงสมัยโบราณอย่างไร มันเกือบจะเป็นความอัปยศอดสูของชีวิต บัณฑิตซิ่วไฉผู้สอบเคอจวี่ที่สง่างามน่าเกรงขามกลับมีคำพูดโง่ๆ เช่นนี้ออกจากปาก แล้วคุณสมบัติของเขาล่ะ? เอาไว้เลี้ยงสุนัขหมดแล้วหรือ?!
“ข้าเคยตาบอดที่ชอบคนท่าดีทีเหลวเช่นเจ้า!”
“ข้า…”
อวี๋หวั่นตำหนิเสียงแข็ง “หุบปาก! เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าเป็นวัวและม้าให้กับครอบครัวจ้าวเช่นไร เพียงได้ยินข่าวเล่าข่าวลือเรื่องสองเรื่อง ก็ตะโกนบอกว่าจะยกเลิกงานแต่งกับข้า เพื่อทำให้ตัวเองสะอาดบริสุทธ์ ไม่ลังเลที่จะทำลายชื่อเสียงของข้าต่อหน้าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากนั้นก็ย้ายออกจากหมู่บ้านเหลียนฮวาในชั่วข้ามคืนเพื่อหนีหนี้สามร้อยตำลึง…แต่ละอย่าง แต่ละเรื่องเหมือนผู้ที่เป็นบุรุษทำกันหรือไม่เล่า?”
จ้าวเหิงโต้แย้ง “ไม่ใช่ว่าข้าต้องการทำลายชื่อเสียงของเจ้า ข้าแค่ไม่คิดว่าน้องสาวของข้า นางจะ…”
อวี๋หวั่นเอ่ยขัดอย่างเย็นชา “ดังนั้นความผิดอื่นๆ เจ้าก็ยอมรับเช่นนั้นสิ?”
จ้าวเหิงสำลัก
จะยอมรับก็ไม่ใช่ จะโต้แย้งก็ไม่เชิง
เขาจึงบอกว่านางไม่ใช่อาหวั่น อาหวั่นของเขาไม่ได้ก้าวร้าวเช่นนี้ และยิ่งไม่มีทางฉลาดเฉลียวมีไหวพริบถึงเพียงนี้!
จ้าวเหิงยังใคร่จะเอ่ยบางสิ่ง ทว่าก็เห็นอวี๋หวั่นเดินเข้ามา อวี๋หวั่นนั่งยองๆ ลงตรงหน้าเขา และยื่นมือเรียวออกมาดึงอาภรณ์ของเขา
สีหน้าเขาเปลี่ยนไปในทันที “กลางวันแสกๆ…เจ้า…เจ้าจะทำอันใด? เจ้าเป็นอิสตรี…ไม่มีความละอาย…”
ยังไม่ทันเอ่ยคำว่าใจ อวี๋หวั่นก็คว้าถุงเงินของเขาพร้อมกับเทเศษเงินทั้งหมดออกมา พลางเอ่ยเสียงเรียบเฉย “ทั้งหมดสองตำลึง เจ้ายังเป็นหนี้ข้าอีกสองร้อยเก้าสิบแปดตำลึง ต่อไป หากเจ้าไม่หลบหน้าข้า เจอหน้าข้า ข้าก็จะให้เจ้าจ่ายคืนอีกครั้งหนึ่ง!”
พูดจบ อวี๋หวั่นก็โยนกระเป๋าเงินคืนให้เขา และเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
เมื่อออกจากตรอก อวี๋หวั่นได้เดินสวนกับสตรีชั้นสูงคนหนึ่งซึ่งสวมเสื้อคลุมและจงใจลดปีกหมวกลง แล้วเหตุใดจึงรู้ว่านางเป็นสตรีชั้นสูง ก็เพราะร่างกายของนางอบอวลไปด้วยกลิ่นควันหอมล้ำค่าที่คนจนไม่อาจใช้
สตรีผู้สูงศักดิ์จะปรากฏตัวในตรอกซอมซ่อเช่นนี้หรือ? เมื่อเห็นท่าทีระแวดระวังของนาง ดูเหมือนจะออกมาโดยหลบเลี่ยงสายตาผู้คน
แต่มันเกี่ยวอะไรกับเธอละ?
ในชีวิตนี้ เธอไม่มีทางข้องเกี่ยวอะไรกับนาง
อวี๋หวั่นไม่ได้สนใจ แต่สตรีชั้นสูงกลับมองไปที่อวี๋หวั่นอย่างระแวดระวัง ทว่าไม่ใช่เพราะสนใจอวี๋หวั่น นางเพียงแค่ระมัดระวังตัว และกังวลว่าอาจจะเจอคนรู้จักที่นี่
นางเข้าไปในตรอกข้างทาง และเดินไปด้วยใบหน้าซีดเผือด “คุณชายจ้าว ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่? ท่านได้รับบาดเจ็บ!”
จ้าวเหิงเช็ดเลือดที่มุมปาก “มิเป็นไร”
หญิงสาวยื่นมือออกไปหมายจะช่วยพยุงเขาขึ้นมา ทว่าก็รู้สึกไม่ควรทำผิดธรรมเนียมเช่นนี้ จึงลดมือลง
จ้าวเหิงยันกำแพงยืนขึ้นและกล่าวทักทายนางอย่างสุภาพ
“ผู้ใดทำร้ายท่านเช่นนี้? ต้องการแจ้งทางการหรือไม่?” หญิงสาวถามด้วยความกังวล
จ้าวเหิงส่ายศีรษะ “ไม่จำเป็นหรอกขอรับ เหตุใดคุณหนูจึงมาที่นี่?”
หญิงสาวหยิบซองยาออกมาแล้วเอ่ยเบาๆ “ข้าทำยามาให้ท่านป้า”
จ้าวเหิงหลุบตาลง โค้งคำนับ “…ขอบคุณท่านมาก”
…
อวี๋หวั่นกลับมาที่ร้านขนม สารถีเดินมา เห็นสีหน้าของอวี๋หวั่นไม่สู้ดี จึงคิดว่าเธอไล่ตามหัวขโมยไม่ทัน “คนไม่เป็นไรก็ดีแล้ว หากต่อไปเจอเรื่องเช่นนี้อีก ก็อย่าไล่ตามไปเลย”
หัวขโมยล้วนเป็นชายหนุ่ม อันตรายเกินกว่าที่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งจะไล่ตามไป
“ข้าได้กระเป๋าเงินคืนแล้ว” อวี๋หวั่นไม่ต้องการเล่าเรื่องที่เธอได้พบกับจ้าวเหิง พูดจบเธอก็นำเงินไปจ่ายค่าขนม
ในเมื่อตามไปเอาคืนมาได้แล้ว ไยไม่มีความสุขเล่า? สารถีรถม้าไม่ได้ถามออกไป พวกเขาทำอาชีพนี้ ต้องมีหูไว้ฟังให้มาก และมีปากไว้พูดให้น้อย
“ตอนนี้จะไปที่จวนสกุลเซียวหรือไม่?” สารถีรถม้าถาม
“ไม่ต้องแล้วละ ฟ้าเริ่มมืดแล้ว กลับหมู่บ้านกันเถิด” อวี๋หวั่นเข้าไปในรถม้า
สารถีเงยหน้ามองท้องฟ้า ก็สายไปจริงๆ ทว่าเขากลับรู้สึกว่าแม่นางอวี๋มิได้ยกเลิกการเดินทางเพราะฟ้ามืด
แต่เนื่องจากแม่นางอวี๋ไม่ได้กล่าวสิ่งใด เขาจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้
สารถีรีบเคลื่อนรถกลับหมู่บ้านเหลียนฮวาอย่างรู้ความ
อวี๋หวั่นเดินกลับมาถึงหมู่บ้าน ก็มอบขนมและถังหูลู่ให้กับเถี่ยตั้นน้อยกับน้องสาว
“เหตุใดจึงมีสามไม้?” เถี่ยตั้นน้อยเอ่ยพลางเลียถังหูลู่
อวี๋หวั่นลูบหัวเล็กๆ ของเขาและเอ่ยในใจ ที่ข้าหมดกำลังใจเช่นนี้ เพราะถูกชายชั่วผู้นั้นทำร้ายจิตใจ เธอไม่เข้าใจว่าผู้ชายเลวๆ เช่นนี้สอบเข้าเป็นซิ่วไฉได้อย่างไร?
อวี๋หวั่นมองเถี่ยตั้นน้อย “ต่อไปเจ้าจะเป็นเช่นนั้นไม่ได้นะ”
เถี่ยตั้นน้อยสับสนงงงวย เป็นเช่นใดไม่ได้?
…
ไม่รู้ว่าเพราะโกรธจ้าวเหิงหรือไม่ คืนนี้ อวี๋หวั่นฝันว่าตนเองมีลูก
เธอฝันว่าในคืนที่ฟ้าแลบฟ้าร้อง เธอนอนอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ที่ไม่คุ้นเคย ใต้ร่างของเธอถูกรองด้วยฟูกหนาๆ เนื้อตัวชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็นๆ ความรู้สึกเจ็บปวดราวร่างจะแตกสลายแล่นมาจากท้องน้อยกับอุ้งเชิงกราน
“อาม่า! อาม่า!”
หญิงรับใช้คนหนึ่งที่อายุไล่เลี่ยกับแม่หลินผลักประตูเข้ามา “เจ้าเป็นอันใดไป?”
“อาม่าข้าเจ็บ…”
หญิงรับใช้ก้าวไปด้านหน้า และใช้ปลายนิ้วเย็นๆ คลำท้องของเธอ ทันใดนั้นแววตาของนางก็เปลี่ยนไป “ไม่ดี ใกล้จะคลอดแล้ว!”
เธอมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายไม่ชัดเจน ทว่าก็คว้ามือของอีกฝ่ายไว้ “อาม่า…ท่านอย่าไป…”
หญิงรับใช้กล่าว “เจ้ากำลังจะคลอดแล้ว…ข้าต้องไปตามหมอตำแย!”
น้ำตาของเธอไหลอาบแก้ม “อาม่า ข้ากลัว…”
“ไม่ต้องกลัว เจ้าจะไม่เป็นไร สตรีล้วนต้องคลอดบุตร คลอดแล้วก็จะไม่รู้สึกเจ็บปวดอีก…” หญิงรับใช้เอ่ยจบ ก็แกะมือของเธอออก และสวมเสื้อคลุมกันฝน ก่อนจะวิ่งลุยฝนออกไป
สายลมและหยาดฝนเย็นๆ กระหน่ำลงมา เธอนอนปวดท้องแทบขาดใจอยู่บนเตียง
ทันใดนั้นเธอก็สัมผัสถึงคลื่นความร้อนที่แผ่ออกมาจากใต้ร่างกาย
ถุงน้ำคร่ำแตกแล้วหรือ?
อวี๋หวั่นตกใจสะดุ้งตื่นจากฝัน!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]