เหยียนหรูอวี้เดินลงไปชั้นล่างพร้อมกับเครื่องดื่มสองสามกล่อง ทันทีที่มาถึงประตู ก็มองเห็นอวี๋หวั่นที่แผ่กลิ่นอายสังหารออกมา
อวี๋หวั่นเพิ่งเดินออกจากตรอกที่ ‘บังเอิญพบ’ กับจ้าวเหิง เธอค้นเจอเงินเหรียญทองแดงห้าเหรียญบนตัวของจ้าวเหิง ทว่าแค่เงินเหรียญทองแดงห้าเหรียญ ยังไม่พอยาไส้ด้วยซ้ำ แน่นอนว่าสิ่งที่อวี๋หวั่นสนใจไม่ใช่เหรียญทองแดงเหล่านี้ แต่เป็นเรื่องที่บีบให้เล่าออกมาจากปากของจ้าวเหิง
จ้าวเหิงบอกว่าเขาเคยเห็นภาพของเธอที่กำลังอุ้มท้อง ร่างกายของเธอถูกปกคลุมไปด้วยผื่นสีแดง หน้าตาอัปลักษณ์น่าเกลียดจนไม่เหมือนเค้าเดิม จ้าวเหิงที่เติบโตมากับเธอก็แทบจะจำไม่ได้ เช่นนั้น เพื่อนร่วมชั้นแซ่หยางซึ่งเพียงมองเห็นเธอจากที่ไกลๆ ไม่กี่ครั้ง จะจำว่าเป็นเธอที่หอนางโลมได้อย่างไร?
ใช้หัวแม่เท้าคิดก็เดาได้ว่าคนแซ่หยางนั่นพูดจาโป้ปด!
แน่นอน เธอไม่สงสัยว่าทั้งสองเคยพบกันที่หอนางโลมในเมืองสวี่โจว ทว่าหากเป็นอย่างที่หยางซิ่วไฉกล่าวว่าเขาจำเธอได้ ในทางกลับกัน เธอก็ควรจะจำหยางซิ่วไฉได้
หยางซิ่วไฉมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจ้าวเหิง เธอมักจะไปเยี่ยมจ้าวเหิงที่สำนักการศึกษาอยู่เสมอ แม้ว่าเธอจะไม่เคยพูดคุยกับหยางซิ่วไฉ แต่เธอก็รู้จักคนคนนี้อยู่บ้าง
หลังจากจำหยางซิ่วไฉได้ เธอก็เปิดเผยตัวตนกับหยางซิ่วไฉในทันที และขอร้องให้หยางซิ่วไฉช่วยเหลือเธอ ทว่าน่าเสียดายที่หยางซิ่วไฉกลัวจะติดร่างแหไปด้วย จึงทิ้งเธอไว้และหนีไปคนเดียว
หากมีเพียงเท่านี้ อวี๋หวั่นก็ยังไม่คิดว่ามีสิ่งใดต้องตำหนิเขา
เพราะอย่างไรเขาก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเธอ ขอร้องให้เขาเสี่ยงทำให้ใครไม่พอใจ เพื่อช่วยเธอให้พ้นจากอันตราย ก็ดูเหมือนจะฝืนใจเขาไปเสียหน่อย
ในเมื่อเลือกที่จะไม่ยุ่งเกี่ยว ก็ควรจะไม่ยุ่งเกี่ยวจนถึงที่สุด ทว่าหลังจากนั้นไม่กี่ปีก็วิ่งโร่ไปนินทาให้จ้าวเหิงฟัง นี่หมายความว่าอย่างไร?!
เขาต้องรวบรวมความกล้าที่จะเล่าตั้งแต่ต้นจนจบ อวี๋หวั่นนับถือว่าเขาก็เป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง แต่หมอนั่นเลือกทำให้ตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์ และไม่เล่าเรื่องที่เธอเคยขอความช่วยเหลือจากเขา กลับยืนยันว่าเธอเข้าไปในหอนางโลมด้วยตัวเอง
คนต่ำช้า! ไอ้ชาติชั่ว!
ว่ากันว่าสิ่งต่างๆ ถูกแบ่งเป็นหมวดหมู่ ผู้คนก็ถูกแบ่งตามกลุ่ม คนที่เรียกว่าพี่น้องกับจ้าวเหิง ก็คงอยู่ในประเภทเดียวกับจ้าวเหิงเช่นกัน!
เหยียนหรูอวี้เห็นอวี๋หวั่นเดินไปข้างหน้าด้วยใบหน้าบูดบึ้ง ไม่มองถนนไม่มองทาง ก็รอเพียงอวี๋หวั่นเดินชนเสาเท่านั้น
แต่ใครจะรู้ว่าอวี๋หวั่นดูเหมือนมีดวงตาอีกคู่หนึ่งอยู่บนหัว ขณะที่กำลังจะชนเสา เท้าของเธอก็พลันหยุดชะงักในทันที
หลังจากนั้น อวี๋หวั่นก็คล้ายกับรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่าง และหันมองไปยังเหยียนหรูอวี้
เหยียนหรูอวี้ถูกจับได้โดยไม่ทันตั้งตัว ลุกลี้ลุกลนราวกับถูกจับได้ว่าทำสิ่งที่ไม่ดีคาหนังคาเขา แต่อวี๋หวั่นก็มิได้สนใจแม้แต่น้อย เธอเบนสายตาออกและก้าวเดินต่อไป
เหยียนหรูอวี้ที่ไม่เคยถูกมองข้ามมากก่อน โกรธจนควันออกหู “หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
อวี๋หวั่นไม่ได้สนใจ
“คนแซ่อวี๋! ข้าบอกให้เจ้าหยุด!”
อวี๋หวั่นเดินต่อไปไม่หยุด
เหยียนหรูอวี้ดวงตาเบิกกว้างอย่างยากจะเชื่อ ไม่พบกันเพียงไม่กี่วัน ดรุณีผู้นี้กลับยิ่งอาจหาญขึ้นเรื่อยๆ กล้าเมินเฉยนางเช่นนี้บนถนนใหญ่ ดูเถิด ตอนนี้เป็นแค่หญิงในหมู่บ้านที่ต่ำต้อย ยังกล้าไม่ไว้หน้านางถึงเพียงนี้ หากรอให้ตัวตนของเด็กนั่นฟื้นคืนมาจริงๆ จะไม่เหยียบนางจนจมดินเลยรึ?!
“นี่ คุณหนูเหยียนบอกให้เจ้าหยุด เจ้าหูหนวกหรือว่าโง่กันแน่ ไม่ได้ยินหรือ?”
ในระหว่างที่โทสะของเหยียนหรูอวี้กำลังปะทุเดือด หญิงสูงศักดิ์สองสามคนในอาภรณ์หรูหราดูดีปรากฏตัวต่อหน้าอวี๋หวั่น และขวางทางอวี๋หวั่นด้วยท่าทางหยิ่งผยอง
พวกนางคือหญิงสูงศักดิ์ที่เชิญเหยียนหรูอวี้ไปเที่ยวทะเลสาบ แผนเดิมนัดพบกันที่ร้านขายผ้าแห่งหนึ่ง หลังจากพบกัน เหยียนหรูอวี้ก็เสนอตัวไปซื้อเครื่องดื่มให้ พวกนางรออยู่นาน ทว่าก็ไม่เห็นเหยียนหรูอวี้กลับมา จึงพากันมาตามหานาง
ผู้ที่เอ่ยวาจาเมื่อครู่คือบุตรขุนนางแซ่หลี่ เป็นคนที่ใกล้ชิดกับเหยียนหรูอวี้มากที่สุดในบรรดาสตรีชั้นสูง และสถานะของนางก็สูงที่สุดในที่นี้ นอกจากเหยียนหรูอวี้ จึงไม่มีผู้ใดที่เหมาะสมไปกว่านาง ในการออกหน้าแทนเหยียนหรูอวี้
เมื่อบุตรีชนชั้นสูงอีกสองคนเห็นคุณหนูหลี่เอ่ยปาก ก็ไม่ยอมน้อยหน้าแสดงความอ่อนแอ
“ใช่ เจ้าไม่ได้ยินรึ? หูหนวกจริงๆ สินะ?”
“หรือเจ้าจงใจไม่ให้เกียรติคุณหนูเหยียน? เจ้ารู้หรือไม่ว่าคุณหนูเหยียนคือใคร? นางเป็นบุตรีของจวนแม่ทัพ คนชั้นต่ำเช่นเจ้า เมื่อเจอนางก็ทำได้เพียงก้มหัวคำนับ ยังกล้าดูหมิ่นไม่ไว้หน้า!”
“คนชั้นต่ำ?” อวี๋หวั่นปรายตามองคนทั้งสาม “หากข้าเป็นคนชั้นต่ำ แล้วพวกเจ้าเล่าเป็นอันใด?”
“ท่านพ่อของข้าเป็นรองเสนาบดีกรมทหาร ท่านพ่อของคุณหนูหูเป็นขุนนางแห่งประตูเหลือง[1] และท่านปู่ของคุณหนูจั่วเป็นซิวจ้วนประจำสำนักราชบัณฑิตหลวง[2] ส่วนเจ้า…” คุณหนูหลี่กล่าวพร้อมกวาดสายตาขึ้นลงบนร่างอวี๋หวั่น “เป็นตัวอันใด?”
เหยียนหรูอวี้เดินเข้ามา เปิดวงล้อมด้วยท่าทาง ‘ใจดี’ “พอแล้วละ มันเป็นความผิดของข้าเอง ข้าอยากใช้โอกาสนี้เจรจาดีๆ กับนาง ไม่คิดว่านางจะไม่พอใจข้าถึงเพียงนี้…”
คำพูดเหล่านั้นมีข้อมูลมากมาย อะไรคือ ‘เจรจาดีๆ’ แล้วอะไรคือ ‘ไม่พอใจถึงเพียงนี้’ หรือว่าก่อนหน้านี้ คนทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ไม่ลงรอยกัน? แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไร คุณหนูเหยียนก็ไม่มีทางข้องแวะกับคนธรรมดาสามัญได้!
ทุกคนมองเหยียนหรูอวี้อย่างรู้สึกสงสัย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]