หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3] นิยาย บท 65

อวี๋หวั่นรักษาตัวอยู่ที่เมืองเยี่ยน เซียวเจิ้นถิงนำทัพซึ่งพิชิตศึกได้สำเร็จกลับเมืองหลวง

ฮ่องเต้อาการดีขึ้นมากแล้ว แม้ว่ายังเคลื่อนไหวได้จำกัด แต่สติสัมปชัญญะกลับมาดีขึ้นแล้ว พระองค์เรียกเซียวเจิ้นถิงและแม่ทัพซึ่งออกรบในทัพหน้าเข้าเฝ้าที่ห้องบรรทม

แม้สาส์นจากม้าเร็วจะบรรยายเรื่องนี้ไปแล้ว แต่เรื่องบางเรื่อง พระองค์ก็อยากรับรู้ด้วยตนเอง

“เราได้ยินว่า…ทัพใหญ่เผ่าศักดิ์สิทธิ์ยอมศิโรราบ แต่ถูกผู้สำเร็จราชการสั่งให้สังหารจนหมด เกิดอะไรขึ้นกัน” อาการป่วยของฮ่องเต้ยังไม่หายดี พระองค์ยังพูดได้ช้า แม้แต่ยามที่ฟังเรื่องราว ก็มีบางครั้งบางคราวที่สับสน

เซียวเจิ้นถิงมิได้รู้สึกแปลกใจ เขาตอบอย่างจริงจังว่า “ทูลฝ่าบาท กองทัพเผ่าศักดิ์สิทธิ์ใช้การยอมแพ้เป็นข้ออ้าง ความจริงแล้วพวกเขาต้องการให้พวกกระหม่อมตายใจ พวกเขาอ้อมไปอีกด้านหนึ่ง เพื่อลอบโจมตีค่ายทหารของพวกกระหม่อม ทั้งยังทำร้ายพระชายาของผู้สำเร็จราชการ จนบัดนี้พระชายายังไม่ฟื้นเลยพ่ะย่ะค่ะ การที่ผู้สำเร็จราชการออกคำสั่งโจมตีนั้นมิได้อยู่ในแผนการพ่ะย่ะค่ะ”

“เป็นเช่นนั้นหรือ?” สายตาของฮ่องเต้ไปหยุดอยู่ที่แม่ทัพสิบกว่าคนด้านหลัง “เยี่ยนจิ่วเฉาต่อสู้กับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ เพราะต้องการระบายอารมณ์?”

“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”

ทุกคนตอบพร้อมกัน

ฮ่องเต้เห็นว่าถามแล้วไม่ได้ความอะไร จึงโบกมือ ให้แม่ทัพทั้งหลายออกไป “เซียวเจิ้นถิง เจ้าอยู่ที่นี่ก่อน เรามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”

ฮ่องเต้จะคุยกับเซียวเจิ้นถิงเรื่องเยี่ยนไหวจิ่ง เรื่องที่เยี่ยนไหวจิ่งชักนำคนเผ่าศักดิ์สิทธิ์มานั้นได้แพร่สะพัดไปนานแล้ว ฮ่องเต้ต้องการฟังความเห็นของเซียวเจิ้นถิง

เซียวเจิ้นถิงจะไปมีความเห็นอะไรได้ ถ้าเป็นลูกของเขาเอง เขาคงจะลากไปตีให้ตายไม่รู้กี่รอบแล้ว ถึงแม้จะบอกว่าเยี่ยนไหวจิ่งก็ถูกเผ่าศักดิ์สิทธิ์หลอกใช้ แต่ถ้าหากเขาไม่คิดอยากกำจัดเยี่ยนจิ่วเฉาแต่แรก เขาจะหลงกลของคนเผ่าศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไรกัน

หากเยี่ยนจิ่วเฉาเป็นขุนนางทุจริตทำเรื่องเลวร้าย แรงจูงใจของเยี่ยนไหวจิ่งยังจะพอเข้าใจได้ แต่คำถามคือเยี่ยนจิ่วเฉาทำเรื่องเลวร้ายขนาดนั้นเชียวหรือ?

ทุบตีเยี่ยนไหวจิ่ง? ก็เป็นเพราะเยี่ยนไหวจิ่งไปแย่งคนรักของเขา จะไม่ให้เขาตามมาจัดการได้อย่างไร ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย!

กระนั้นเซียวเจิ้นถิงก็รู้ดีว่าที่ฮ่องเต้ถามเขา ไม่ใช่เพราะต้องการฟังความเห็นของเขา แต่ต้องการให้เขาทัดทานพระองค์ อย่างไรเสียเขาก็เป็นแม่ทัพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้า เป็นหนึ่งในผู้ที่มีความดีความชอบมากที่สุดในศึกครั้งนี้ เขามีสิทธิที่จะพูด

แต่เขาจะช่วยเกลี้ยกล่อมให้ฮ่องเต้ลดหย่อนผ่อนโทษเยี่ยนไหวจิ่งหรือ?

“ฝ่าบาท รัชทายาททำความผิด ควรได้รับโทษประหารพ่ะย่ะค่ะ!”

ฮ่องเต้โมโหจนแทบจะลมจับ!

แน่นอนว่าฮ่องเต้รู้ว่าเยี่ยนไหวจิ่งทำความผิดมหันต์ แต่อย่างไรเสียเขาก็เป็นถึงรัชทายาท ไหนเลยจะมีเหตุผลให้ประหารเขา

ฮ่องเต้รู้สึกว่าตนคิดผิดที่เรียกให้เซียวเจิ้นถิงอยู่ต่อ เขาเป็นคนหัวแข็ง ไม่โอนอ่อนผ่อนตามง่ายๆ

“เอาละๆ ออกไปก่อนเถอะ!”

ฮ่องเต้รีบไล่เซียวเจิ้นถิงออกไป

เยี่ยนไหวจิ่งถูกปลดออกจากตำแหน่งรัชทายาท ทำให้อัครมหาเสนาบดีหานพลอยโดนหางเลข ถูกบังคับให้ ‘ปลดเกษียณไปใช้ชีวิตบั้นปลาย’ ตามไปด้วย เยี่ยนไหวจิ่งถูกส่งไปอยู่ในพื้นที่แร้นแค้นทางตอนเหนือ

ฮ่องเต้มิได้เอาผิดหานจิ้งซู และอนุญาตให้นางพำนักอยู่ในเมืองหลวงต่อไปได้ เพียงแต่ลูกในท้องของนางจะไม่มีชื่ออยู่ในพงศาวลีของราชวงศ์ ส่วนนางจะไม่ได้มีศักดิ์เป็นพระชายารัชทายาทหรือพระชายาขององค์ชายรองอีกต่อไป นางจะได้ใช้เพียงสกุลของเยี่ยนไหวจิ่ง เป็นเพียงฮูหยินเยี่ยน

หานจิ้งซูขอร้องฮ่องเต้ ให้ทรงอนุญาตให้นางติดตามเยี่ยนไหวจิ่งไปด้วย

นอกจวนรัชทายาท จวินฉางอันขวางหน้ารถม้าของนางไว้ “ทำไม…ทำไมท่านไม่อยู่ในเมืองหลวง ท่านรู้ใช่ไหมว่าเมื่อไปแล้วจะไม่ได้กลับมาอีก”

ท้องของหานจิ้งซูนูนออกมาจนเห็นได้ชัดแล้ว นางลูบท้อง แล้วตอบว่า “พ่อของลูกข้าไปที่ใด ข้าก็จะไปที่นั่น”

จวินฉางอันบอกว่า “ท่านอย่าไป! ถ้าท่านเป็นห่วงลูก ก็อยู่ที่นี่ ข้า…ข้าจะดูแลพวกท่านเอง!”

หานจิ้งซูยิ้มอย่างอ่อนโยน “ขอบคุณ ลาก่อน”

……

บาดแผลของอวี๋หวั่นสมานกันแล้ว เยี่ยนจิ่วเฉาจึงพาเธอกลับเมืองเยี่ยน

จวนเยี่ยนอ๋องยังคงเหมือนเดิม แม้แต่กระดานหมากรุกซึ่งวางอยู่บนโต๊ะในสวนดอกไม้ยังคงวางอยู่เช่นนั้น

ทุกคนรู้ว่าคุณชายกับฮูหยินน้อยจะกลับมาแล้ว จึงตั้งหน้าตั้งตาคอยที่จะพบฮูหยินน้อย แต่ฮูหยินน้อยกลับต้องนั่งบนรถเข็นหลายปี ขยับไม่ได้ราวกับเจ้าหญิงนิทรา

เมืองเยี่ยนสี่ฤดูดุจฤดูใบไม้ผลิ ยามที่เมืองหลวงมีหิมะหนาสองสามฉื่อ จวนเยี่ยนอ๋องกลับมีผีเสื้อหลากสีดอมดมมวลบุปผา

เยี่ยนจิ่วเฉาอุ้มอวี๋หวั่นมานั่งที่เก้าอี้ในสวนดอกไม้

สายลมสงบนิ่ง แสงอาทิตย์สาดส่อง

อวี๋หวั่นสวมชุดสีฟ้าทะเลสาบ ร่างกายที่เคยอวบอ้วนเมื่อตั้งท้อง กลับผ่ายผอมเฉกเช่นครั้นพวกเขาพบกันครั้งแรก ชุดที่ใส่เมื่อเดือนที่แล้ว กลายเป็นหลวมโพรก

สายลมอ่อนพัดโชยมา พัดเส้นผมของอวี๋หวั่นจนหล่นลงมาบนปลายจมูกของเธอ

เยี่ยนจิ่วเฉาปัดผมออก กอดอวี๋หวั่นเอาไว้ เขามองไปรอบๆ แล้วกระซิบข้างหูของเธอว่า “ที่นี่คือสถานที่ที่ข้าเติบโต เจ้าบอกว่าอยากมาเห็นไม่ใช่หรือ?”

เขาชี้ไปยังเรือนไม้ขนาดเล็กตรงหน้า “เห็นศาลานั่นไหม ด้านหลังศาลามีเรือนไม้อยู่หลังหนึ่ง เดิมทีเอาไว้เลี้ยงสุนัข ด้านในมีห้องของสุนัขอยู่หลายห้อง ตอนข้ายังเด็ก ไม่มีอะไรทำก็ปีนเข้าไปในเรือนนั้น…อืม…ใช่แล้วละ…ตอนนั้นข้าตัวเล็กนิดเดียว ถึงปีนเข้าไปได้…หลังจากนั้นพวกเขาก็ตามหาข้า แต่ไม่เคยมีใครหาข้าพบ เจ้ารู้ไหมว่าทำไม ก็เพราะว่าพวกเขาไม่คิดว่าคุณชายเมืองเยี่ยนจะมาอยู่ในเรือนเลี้ยงสุนัขอย่างไรละ”

เยี่ยนจิ่วเฉายอมรับว่าเขาไม่ใช่คนพูดเก่ง

เขาพูดน้อยมาตั้งแต่เด็ก ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ตัว ที่จริงอวี๋หวั่นก็พูดไม่เก่ง แต่ยามที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน เธอก็มักจะสรรหาเรื่องต่างๆ มาคุยกับเขาเสมอ

ตอนนี้เธอพูดไม่ได้ เขาจึงพูดแทนเธอแล้ว

เยี่ยนจิ่วเฉาเด็ดดอกไม้มาดอกหนึ่ง ทัดไว้บนผมของเธอ เธอยังงดงามปานภาพเขียน ดูมีชีวิตชีวาขึ้นทันใด

“ในโลกของพวกเจ้าเป็นอย่างไร มีดอกไม้ที่งามเช่นนี้ไหม”

เยี่ยนจิ่วเฉาก้มหน้าลง จุมพิตลงบนข้างจอนผมของเธอ “เจ้ากลับไปแล้วหรือ? เที่ยวจนหนำใจแล้วอย่าลืมรีบกลับมาละ”

……

“อุแว้”

ฤดูหนาวผ่านพ้นไป ฤดูใบไม้ผลิเริ่มต้นขึ้น เยี่ยนเสี่ยวซื่ออายุหกเดือนแล้ว

ว่ากันว่าเด็กอายุเจ็ดเดือนนั่งได้ แปดเดือนคลานได้ เด็กคนอื่นอายุเจ็ดแปดเดือนจึงจะคลานได้ ตอนนี้นางคลานได้แล้ว

นางอาศัยจังหวะที่แม่นมสัปหงก คลานเตาะแตะไปยังสวนดอกไม้ของจวนเยี่ยนอ๋อง แล้วเด็ดดอกโบตั๋นสีเหลืองที่สวยที่สุดมาหนึ่งดอก

ตั้งแต่อวี๋หวั่นเกิดเรื่อง เด็กทั้งสามก็รู้ความขึ้น ไม่เพียงไม่สร้างเรื่องไปทั่ว แต่ยังตั้งใจเรียนหนังสือมากขึ้น

ลุงวั่นคิดว่าเมื่อเด็กน้อยทั้งสามไม่เล่นซนอีก ดอกไม้ของเขาก็จะอยู่รอดปลอดภัย ดูแลแล้วดูแลเล่า แต่ไม่อาจดูแลให้พ้นมือเยี่ยนเสี่ยวซื่อ

เยี่ยนเสี่ยวซื่อคาบดอกโบตั๋นไว้ในปาก แล้วคลานไปยังห้องของอวี๋หวั่นอย่างชำนาญทาง

นางปีนขึ้นไปบนเตียง มือเล็กจับดอกไม้ แล้ววางไว้ข้างหมอนของอวี๋หวั่น “อื้อๆ อื้อ”

ท่านแม่ ดอกไม้!

หลังจากมอบดอกไม้ให้ท่านแม่แล้ว นางก็พยุงตัวเองกับเตียง แล้วหอมแก้มท่านแม่ แต่นางยังทรงตัวได้ไม่ดี และหล่นลงมา

นางยังไม่หล่นลงบนพื้น เพราะทันใดนั้นเอง มือคู่หนึ่งก็รับนางไว้

เยี่ยนจิ่วเฉาอุ้มเยี่ยนเสี่ยวซื่อขึ้นมา พลางมองไปยังดอกโบตั๋นสีเหลืองข้างหมอน แล้วถามด้วยความเอ็นดู “เอาดอกไม้มาให้ท่านแม่อีกแล้วหรือ”

เยี่ยนเสี่ยวซื่อขยับแขนและขาไปมา “อื้อๆ อื้อๆ!”

ใช่แล้ว!

เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวว่า “เหตุใดถึงเป็นสีเหลืองเล่า ชอบสีเหลืองถึงเพียงนี้ หรือว่าเจ้าคิดว่าดอกไม้สีเหลืองจึงจะเป็นดอกไม้?”

เยี่ยนเสี่ยวซื่อ “อื้อๆ อื้อๆ!”

เยี่ยนจิ่วเฉาก็ฟังไม่ออกว่านางพูดว่าอย่างไร

เขาอุ้มเยี่ยนเสี่ยวซื่อกลับไปยังห้องของนาง

เยี่ยนเสี่ยวซื่อดิ้นอยู่สักพัก “อื้อๆ อื้อๆ!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]