“จริงหรือ? เจ้าโหดร้ายถึงเพียงนั้นเชียว? แม้แต่เถ้ากระดูกก็ไม่เหลือไว้” อิ่งลิ่วตามมาภายหลัง และเห็นฉากสุดท้ายเข้าพอดี
อิ่งสือซันขมวดคิ้ว “ข้าไม่ได้สั่ง”
เขาไม่ได้สั่งจริงๆ เขาเพียงบอกให้หัวขโมยชิงของของเหยียนหรูอวี้มาไม่ให้เหลือ ใครจะไปคิดว่าเหยียนหรูอวี้จะพกเถ้ากระดูกติดตัวมาด้วย ทั้งยังปกป้องราวกับเป็นของล้ำค่า นั่นไม่ได้ยิ่งทำให้คนอยากแย่งมาหรอกหรือ?
“ทำไม? เจ้าใจอ่อนหรือ?” อิ่งสือซันเหลือบมองเหยียนหรูอวี้ “เจ้าอย่าลืมว่านางทำกับคุณชายน้อยเอาไว้อย่างไร”
พวกเขาจับคนรับใช้ที่หนีไม่ทันมาจำนวนหนึ่ง และได้รู้จากปากของคนเหล่านั้นว่าหากไม่ใช่เพราะแม่นางอวี๋มาทัน ใครจะไปรู้ว่าคุณชายน้อยจะมีสภาพย่ำแย่เพียงใด
อิ่งลิ่วก็คิดเช่นนั้น เขาทอดถอนใจ “ข้าไม่ได้เห็นใจนาง”
“ไม่เห็นใจก็ดีแล้ว” อิ่งสือซันกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ อิ่งลิ่วเป็นทหารสอดแนมโดยกำเนิด ต่างกับเขาซึ่งคลานขึ้นมาจากซากศพ เขาจิตใจแข็งกระด้าง ลงมือโดยไม่ลังเล สองมืออาบด้วยเลือด แต่อิ่งลิ่วยังเหลือจิตสำนึกของความเป็นคนอยู่
อิ่งลิ่วพูดต่อ “ข้าเพียงแต่เห็นใจเด็กทั้งสองคนที่ต้องมีแม่อย่างนาง”
ความผิดของเหยียนหรูอวี้มีโทษมหันต์ แต่เด็กไม่ควรต้องมารับโทษด้วย ทว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของผู้ใดกัน? ถ้าไม่ใช่เพราะเหยียนหรูอวี้ทำเรื่องเลวร้ายไว้ก่อน ตอนนี้จะต้องมารับผลของการกระทำของตนหรอกหรือ? ไม่ว่าอย่างไรเหตุและผลล้วนมาจากตัวนางเอง มิอาจโทษผู้อื่น
“นั่นไม่ใช่เถ้ากระดูกของเด็ก” อิ่งสือซันบอก
อิ่งลิ่วประหลาดใจ “หืม?”
อิ่งสือซันกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าฮูหยินเหยียนจะยอมมอบเถ้ากระดูกของหลานชายให้ลูกสาวที่กำลังหนีตายหรืออย่างไร?”
“อ่า ฮูหยินเหยียนนาง…”
อิ่งสือซันนัยน์ตาแฝงความคิดลึกล้ำ “นางไม่ได้โง่”
……
“ฮูหยินเจ้าคะ” ชุ่ยเอ๋อร์เปิดประตูห้อง นำถ้วยน้ำแกงมาวางบนโต๊ะ “ท่านไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน ดื่มน้ำแกงโสมบำรุงร่างกายสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”
“ข้าไม่อยากกิน” ฮูหยินบอก
“คุณหนูคงไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ” ชุ่ยเอ๋อร์พูดปลอบประโลม
ฮูหยินเหยียนยิ้มขมขื่น มิได้พูดต่อ
ชุ่ยเอ๋อร์หยิบแม่กุญแจทองแดงใหม่เอี่ยมออกมาจากแขนเสื้อ “ฮูหยิน แม่กุญแจที่ท่านต้องการ ยังดีอยู่ ท่านจะเอาไปทำอะไรหรือเจ้าคะ?”
ฮูหยินเหยียนมิได้ตอบคำถามของนาง เพียงแต่รับแม่กุญแจมา “เจ้าลงไปเถิด ข้าอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ”
“เจ้าค่ะ” ชุ่ยเอ๋อร์ออกไป
ฮูหยินเหยียนเดินมายังหน้าตู้เสื้อผ้า เปิดประตูตู้ออก แล้วหยิบกล่องไม้หงมู่ออกมา ในกล่องนั้นใส่โถกระเบื้องเอาไว้สองใบ นางลูบฝาของโถนั่น ลำคอก็พลันรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา
นางลงแม่กุญแจที่กล่องใบนั้น พร้อมกับยกกล่องนั้นไปยังข้างทะเลสาบด้านหลังจวนสกุลเหยียน และใช้เสียมขุดดินขึ้นมา
ผ่านไปหนึ่งเค่อ นางก็ฝังกล่องนั้นลงไป
อาทิตย์อัสดง ลมโชยเมฆลอย
นางหักกิ่งอ่อนของต้นหลิวมาปักไว้ในดิน
“หลับให้สบายนะเด็กๆ”
สายลมยามสนธยาพัดมาอย่างแผ่วเบา กิ่งของต้นหลิวไหวน้อยๆ ประหนึ่งพวกเขาพยักหน้ารับรู้
……
ในตรอกเล็ก หัวขโมยทำหน้าที่ของตนเองเสร็จ ก็กลับไปหาอิ่งสือซันพร้อมกับของที่ฉกชิงมาได้ พวกเขาไม่กล้าละโมบ จึงแบ่งของที่นำมาเป็นสองส่วน และนำของส่วนใหญ่ใส่ในถุงและนำมามอบให้กับอิ่งสือซันราวกับเป็นบรรณาการ
เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าพวกตนมิได้โลภมาก จึงนำของทั้งหมดออกมา “ขอบคุณนายท่านสือซันที่มอบอาหารให้พวกข้า พวกข้าจึงขอมอบของที่ดีที่สุดให้กับท่าน”
อิ่งสือซันนั่งอยู่บนรถม้า เขาเลิกม่านขึ้นมองเพียงครู่เดียวเท่านั้น
อิ่งสือซันมิได้สนใจของนอกกาย จึงโบกมือให้พวกเขานำกลับไป ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงอิ่งลิ่วซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ กลืนน้ำลาย
อิ่งสือซันจึงหันไปมอง อิ่งลิ่วก็รีบมองขึ้นฟ้า
อิ่งสือซันส่ายหน้าน้อยๆ รับห่อผ้านั้นมา แล้วบอกกับหัวขโมยว่า “ไม่มีอะไรแล้ว พวกเจ้าไปเถอะ”
“ขอรับ!” หัวขโมยรีบรับคำ แต่เมื่อเดินไปได้เพียงสองก้าวก็หันกลับมาพูดว่า “นายท่านสือซัน สตรีผู้นั้นเหมือนจะเสียสตินะขอรับ”
อิ่งสือซันและอิ่งลิ่วลงจากรถม้า เดินไปเข้าไปในตรอก
ในตรอกมีกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง เหยียนหรูอวี้นอนกองอยู่ที่พื้น เสื้อผ้าและเส้นผมของเหยียนหรูอวี้เปียกชุ่มไปด้วยน้ำทิ้ง นางใช้มือกอบเถ้ากระดูกขึ้นมาใส่ไว้ในกระเป๋ากระโปรง ประเดี๋ยวก็ร่ำไห้ อีกประเดี๋ยวหนึ่งก็หัวเราะลั่น
อิ่งลิ่วรู้สึกสะเทือนใจ “นางคงไม่ได้เสียสติจริงๆ หรอกกระมัง?”
อิ่งสือซันเอ่ยขึ้นว่า “ใครจะไปรู้ว่าเสียสติจริง หรือว่าแกล้งเสียสติกันแน่”
พูดจบ อิ่งสือซันก็เดินไปยังเบื้องหน้าของเหยียนหรูอวี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]