“โอ๊ย!” ดรุณีซึ่งงีบหลับอยู่ที่ขอบเตียงถูกอวี๋หวั่นทำให้ตกใจจนศีรษะโขกกับเสาเตียง
อวี๋หวั่นหายใจหอบ ที่แท้ก็เป็นแค่ความฝัน เธอกลัวแทบตาย
“เจ้าทำให้ข้าตกใจแทบแย่ เมื่อครู่เจ้าตะโกนว่าอะไรนะ?” ดรุณีน้อยลูบศีรษะ แล้วบ่นพึมพำ
อวี๋หวั่นกะพริบตาปริบๆ เธอรู้สึกว่าปวดไปทั้งร่าง ราวกับถูกใครทุบตีก็มิปาน
อวี๋หวั่นเดินมึนงงไปหานาง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงจดจำนางได้ “คุณหนูไป๋”
ทันทีที่พูดออกไป เธอก็รู้สึกตกใจกับเสียงของตนเอง เธอไปทำอะไรมา? ทำไมเสียงถึงแหบขนาดนี้?
ร่างกายปวดหนึบ เสียงแหบพร่า ร่างกายเหมือนไม่ใช่ของเธอ…เธอคงไม่ได้…
“เจ้าไม่สบาย” ไป๋ถังกล่าว
“…อ๋อ”
ก็ดี เรื่องพรรค์นี้ต้องทำตอนที่เธอมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน ไม่งั้นก็ทำไปเสียเปล่าน่ะสิ
“เมื่อครู่เจ้าฝันถึงอะไรหรือ? ร้องเสียงดังถึงเพียงนั้น” ไป๋ถังถาม
“เรื่องราวปะปนกันไปน่ะ ข้าแทบจะจำไม่ได้แล้ว” ไม่อย่างนั้นเธอจะฝันว่าตนเองเป็นแม่ของเด็กน้อยทั้งสามได้อย่างไร ถึงพวกเขาจะไม่ใช่ลูกของเหยียนหรูอวี้ก็เถอะ แต่ก็ไม่ใช่ลูกของเธอเช่นกัน แม้ว่าเธออยากให้พวกเขาเป็นลูกของเธอก็ตาม
ไป๋ถังแตะมือลงบนหน้าผากของอวี๋หวั่น “ยังมีไข้อยู่เล็กน้อย”
อวี๋หวั่นทำตาโต เธอมองไปรอบห้องอยู่นาน รู้สึกว่าเป็นสถานที่ที่เธอคุ้นเคย แต่กลับนึกไม่ออกว่าเป็นที่ไหน จะพูดให้ชัดก็คือเธอนึกถึงความเชื่อมโยงของไป๋ถังกับสถานที่แห่งนี้ไม่ออก
“ข้าอยู่ที่ไหนหรือ?” เธอถาม ความทรงจำสุดท้ายของเธอก็คือที่ริมทะเลสาบ เยี่ยนจิ่วเฉายืนอยู่ข้างเธอ เธอรู้สึกสบายใจจนผล็อยหลับไป
ดวงตาสวยดุจผลซิ่งของไป๋ถังถลึงใส่เธอ “ก็อยู่ที่จวนคุณชายเยี่ยนน่ะสิ! เจ้าหลับไปตั้งสามวัน!”
“ข้าหลับไปนานขนาดนั้นเลย…” อวี๋หวั่นยกแขนซึ่งปวดเมื่อยไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาแตะบนหน้าผาก “แล้วท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
ไป๋ถังหัวเราะ “พี่ใหญ่เจ้าไหว้วานให้ข้ามาดูแลเจ้า”
ยังไม่ทันแต่งงาน ก็เรียกใช้งานภรรยาซะแล้ว เรื่องนี้พี่ใหญ่ไม่มองนางเป็นคนนอก แต่ฟังจากที่นางพูด เยี่ยนจิ่วเฉาน่าจะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้คนที่บ้านเธอฟังแล้ว ส่วนเรื่องที่พี่ใหญ่ไหว้วานไป๋ถังมาดูแลเธอ หรือว่าท่านพ่อท่านแม่เธอไหว้วานมา ก็ไม่อาจรู้ได้
แน่นอนว่า ที่บอกว่ามาดูแลเธอนั้นเป็นเพียงข้ออ้าง จวนคุณชายเยี่ยนมีบ่าวไม่รู้เท่าไร ทั้งยังสามารถเชิญหมอที่เก่งที่สุดมาได้ จะต้องให้คุณหนูไป๋มาเฝ้าเธอเพื่ออะไร? ไม่สู้บอกมาเลยว่าให้นางมาคอยเฝ้า เพื่อไม่ให้เยี่ยนจิ่วเฉารังแกเธอ
“เขามาดูเจ้าทุกวัน เจ้าวางใจได้ ข้าไม่บอกผู้ใดหรอก” ไป๋ถังล่วงรู้ความคิดของอวี๋หวั่น นางหรี่ตาให้อวี๋หวั่นอย่างมีเลศนัย
เพราะฉะนั้นก็หมายความว่าคนที่ครอบครัวของเธอส่งมาคอยเป็นหูเป็นตาก็ไม่ได้ช่วยอะไร อีกประเดี๋ยวไป๋ถังก็คงจะถูกเยี่ยนจิ่วเฉาซื้อตัวไปแล้ว
“เด็กๆ เล่า?” อวี๋หวั่นเป็นห่วงเด็กน้อยทั้งสามมากที่สุด
ไป๋ถังเหลือบตามอง “พวกเขาน่ะหรือ อยู่ห้องข้างๆ จะให้พาพวกเขามาหรือไม่?”
อวี๋หวั่นส่ายหน้า การเคลื่อนไหวเบาๆ เช่นนี้ กลับทำให้เธอรู้สึกราวกับศีรษะจะหลุดออกไป ดูแล้วเธอน่าจะป่วยหนักพอสมควร ร่างนี้ไม่ค่อยป่วย หรือว่าด้วยเหตุผลนี้ เมื่อป่วยขึ้นมาครั้งหนึ่ง ก็จะป่วยหนักไปพักใหญ่
“เจ้าไม่อยากเจอพวกเขาหรือ?” ไป๋ถังถามอย่างมีเลศนัย
อวี๋หวั่นปวดหัวจนไม่ทันได้สังเกตความหมายแฝงในคำพูดและสายตาของไป๋ถัง “ข้าไม่อยากให้พวกเขาติดหวัด”
แม้ว่าเธอจะอยากเจอพวกเขาตอนนี้ แต่เด็กเล็กแบบพวกเขา ถ้าไม่สบายขึ้นมาจะแย่เอา
ไป๋ถังได้ยินเรื่องเด็กๆ จากเยี่ยนจิ่วเฉามาบ้างแล้ว จึงรู้ว่าอวี๋หวั่นเป็นแม่แท้ๆ ของเด็กทั้งสาม ในตอนที่นางได้ยินเรื่องใหญ่เช่นนี้ นางตกใจจนแทบอ้าปากค้าง แต่เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวนางก็พลันรู้สึกดีใจแทนอวี๋หวั่น อย่างไรเสียนางก็เห็นแล้วว่าอวี๋หวั่นก็ชอบเด็กๆ เหล่านี้ อวี๋หวั่นเกลียดเหยียนหรูอวี้มากเพียงใด ทว่าก็ไม่เคยหมางเมินพวกเขาเพราะเรื่องนี้เลย
เลือดข้นกว่าน้ำนั้นจริงแท้ กระนั้นสัญชาตญาณของอวี๋หวั่นก็มิใช่เรื่องหลอกลวง
ถ้าหากอวี๋หวั่นยอมให้ความเคืองแค้นมาบังตา ก็คงจะลงมือทำเรื่องที่ตนจะต้องเสียใจภายหลังไปแล้ว
ดังนั้นจึงมีประโยคหนึ่งที่ว่าอย่างไรนะ? ทำดีกับผู้อื่น ก็ย่อมดีกับตนเอง
ส่วนสตรีใจคอโหดเหี้ยมอย่างเหยียนหรูอวี้นั้น ทำร้ายผู้อื่นจนตนเองพินาศ สมควรที่สุดท้ายแล้วจะไม่เหลืออะไรเลย
“ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าท่านมีเรื่องจะพูด?” อวี๋หวั่นรู้สึกว่าไป๋ถังยิ้มราวกับคนบ้า “มีข่าวดีหรือ? พี่ใหญ่ข้าขอท่านแต่งงานแล้วหรือ?”
“อะไรกันเล่า!” ไป๋ถ้งหน้าง้ำงอขึ้นมา
“ยังไม่ขอแต่งงาน ท่านก็เลยผิดหวังสินะ?” อวี๋หวั่นเย้าหยอก
ไป๋ถังใช้นิ้วจิ้มหน้าผากอวี้หวั่น “เจ้าป่วยจนลุกจากเตียงแทบไม่ไหว ยังจะมาหยอกล้อข้าอีก”
“หาความสุขในความทุกข์อย่างไรเล่า” อวี๋หวั่นพูดอย่างอ่อนแรง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]