หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3] นิยาย บท 80

บทที่ 80 อวี๋หวั่นสอนลูก
Ink Stone_Romance
สวี่ส้าวออกไปส่งสวี่เสียนเฟยและองค์ชายรอง “ถวายบังคมพระสนม ถวายบังคมองค์ชาย”

ทั้งสองขึ้นไปนั่งบนรถม้า

รถม้าเคลื่อนออกมาไกล จนไม่เห็นคฤหาสน์สกุลสวี่แล้ว สวี่เสียนเฟยจึงเอ่ยปากขึ้นว่า “องค์ชาย เรื่องนี้เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไร? เจ้าคิดว่าคำพูดของท่านลุงล้วนเป็นความจริงหรือไม่?”

“เสด็จแม่กำลังสงสัยท่านลุงอยู่หรือ?” เยี่ยนไหวจิ่งเอ่ยถาม

สวี่เสียนเฟยทอดถอนใจ “เขาเป็นพี่ชายของข้า แน่นอนว่าข้าไม่อยากสงสัยเขา แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการสืบราชบัลลังก์ของเจ้า ข้าจำต้องรอบคอบไว้ก่อน”

“ทำให้ท่านแม่ต้องกังวลแล้ว” เยี่ยนไหวจิ่งพูดจบ ก็เบือนหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างในความมืด ราวกับว่าไม่อยากพูดต่อแล้ว

เรื่องสำคัญเช่นนี้ พูดเพียงว่าทำให้นางต้องกังวลแล้วเพียงเท่านี้ก็จบหรือ?

“เจ้ายังโกรธแม่อยู่หรือ? ไม่อยากพูดกับแม่แล้ว?” ต่อหน้าสวี่ส้าว เขายังรู้จักไว้หน้านาง เมื่อปราศจากคนนอก ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นอย่างที่คนนอกไม่เห็น

“ลูกไม่กล้า” เยี่ยนไหวจิ่งตอบ

สวี่เสียนเฟยพลันรู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมา “เจ้าไม่กล้า เจ้าไม่กล้า แล้วที่เป็นอยู่ตอนนี้คืออะไรเล่า?”

“คำพูดของท่านลุงไม่ใช่เชื่อไม่ได้ แต่ไม่อาจเชื่อได้ทั้งหมด” เยี่ยนไหวจิ่งตอบ

สวี่เสียนเฟยชะงักไป จากนั้นนางก็ตระหนักได้ว่าเขาตอบเพียงคำถามแรกของนาง นั่นเป็นเพราะสวี่เสียนเฟยกล่าวโทษว่าเขาไม่อยากพูดกับนาง เขาจึงรีบตอบคำถามนางในทันที ท่านดู ข้าไม่ได้ตอบท่านดีๆ แล้วหรอกหรือ? ท่านยังไม่พอใจอีกหรืออย่างไร?

ไฟโทสะของสวี่เสียนเฟยสุมอยู่เต็มอก แน่นอนว่านางรู้สึกเสียใจกับเรื่องในตอนนั้นอยู่บ้าง เรื่องที่นางเรียกอวี๋หวั่นเข้าวังไปเข้าหูบุตรชาย หากรู้ตั้งแต่แรกว่าเด็กนั่นมีลูกกับเยี่ยนจิ่วเฉา นางคงทำเป็นหลับหูหลับตา ให้ลูกชายจัดการด้วยตนเอง อย่างไรเขาก็คงทำไม่สำเร็จอยู่ดี เสียแรงนางที่ต้องเล่นเป็นตัวร้าย!

สองแม่ลูกยังคงโกรธกัน หัวข้อสนทนานี้ก็จำต้องยุติลง

อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่สวี่ส้าวส่งสองแม่ลูกขึ้นรถม้าเป็นที่เรียบร้อย สีหน้าของเขาก็ปรับเป็นปกติ ความกลัวและความตื่นตระหนกระคนอยู่ในใจ แววตาของเขามืดลง

เรื่องของเยี่ยนอ๋องและเรื่องคำสาปของเยี่ยนจิ่วเฉาที่สวี่เสียนเฟยเล่าให้ฟัง เขาล้วนรู้หมดแล้ว ทว่าที่จริงเขาไม่ควรรู้เรื่องนี้ เพราะฉะนั้นจึงแสร้งทำเป็นตกใจ

อย่างไรก็ดี สิ่งหนึ่งที่พวกเขาละเลยไปก็คือ หากเรื่องนี้เป็นจริงอย่างที่สวี่เสียนเฟยว่า ฝ่าบาททรงปลงพระชนม์พ่อบังเกิดเกล้าของพระองค์เองเพื่อช่วยน้องชาย เหตุใดในใจของเยี่ยนจิ่วเฉาจึงยังเคืองแค้นพระองค์อยู่เล่า เข้าเฝ้าฝ่าบาททีไรเป็นต้องโมโหจนล้มป่วยทุกครั้งไป

หรือเป็นเพราะในตอนนั้นมีคนลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาทไม่สำเร็จ จึงจับเยี่ยนอ๋องไปเพื่อข่มขู่ เยี่ยนอ๋องไม่ต้องการให้ฝ่าบาทตกที่นั่งลำบากจึงชิงปลิดชีพตนเองเสียก่อน? ทว่านั่นไม่ใช่ความผิดของฝ่าบาท อีกทั้งเดิมทีก็เป็นฝ่าบาทที่ช่วยชีวิตของเยี่ยนอ๋องเอาไว้ เยี่ยนอ๋องทำเช่นนี้ก็เป็นการชดใช้ให้ฝ่าบาทด้วยชีวิต เช่นนั้นเยี่ยนจิ่วเฉาจะเคืองแค้นเรื่องใดเล่า?

แต่ถ้าหากเด็กที่มิได้มีเลือดของราชวงศ์คนนั้นไม่ใช่เยี่ยนอ๋อง หากแต่เป็นฝ่าบาท เช่นนี้ก็คงมีเหตุผลอธิบาย

เยี่ยนจิ่วเฉาสร้างปัญหาให้ฝ่าบาทมาไม่รู้กี่ปี ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นหนามยอกอกของฮ่องเต้องค์ก่อน และเป็นเพราะฝ่าบาท เยี่ยนจิ่วเฉาถูกท่านปู่ของเขาสาปแช่งให้ไร้ผู้สืบสกุล กระนั้นเยี่ยนอ๋องก็ยังยอมตายเพื่อพี่ชายเนรคุณผู้นี้…

ฝ่าบาททรงไม่รู้ความจริงหรืออย่างไร? พระองค์ก็แค่ไม่กล้าพูดความจริงก็เท่านั้น ต่อให้พระองค์คุกเข่าต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้องค์ก่อน หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็คงไม่พูดว่า ‘คนชั่วนั่นไม่ใช่น้อง แต่เป็นข้าเอง’ เพราะฉะนั้นพระองค์จึงรู้สึกผิดต่อเยี่ยนอ๋องในวัยหนุ่ม และเยี่ยนจิ่วเฉาในวัยเด็ก

………….

“คุณชาย!” อิ่งลิ่วถือกล่องบุกำมะหยี่เข้าไปในห้องหนังสือ “ของพระราชทานจากวังหลวงขอรับ ให้ท่านบำรุงร่างกาย”

เยี่ยนจิ่วเฉามิได้เหลือบตามองด้วยซ้ำ “เอาไปทิ้ง”

อิ่งลิ่วกลืนน้ำลาย “แต่ว่ามันแพงนะขอรับ”

“เช่นนั้นก็เอาไปขายเถอะ” เยี่ยนจิ่วเฉาตอบ

อิ่งลิ่วกะพริบตาปริบๆ “แล้วเงินที่ได้มา…”

เยี่ยนจิ่วเฉาตอบว่า “ข้าดูเหมือนคนไม่มีเงินหรืออย่างไร?”

อิ่งลิ่วยิ้มกรุ้มกริ่ม

เยี่ยนจิ่วเฉาพูดต่อ “เอาไปให้แม่นางอวี๋”

ครานี้อิ่งลิ่วยิ้มไม่ออกเสียแล้ว

อิ่งลิ่วหอบของพระราชทานออกมาอย่างห่อเหี่ยว เดินสวนกับอิ่งสือซันที่ออกมาจากห้องพอดี

อิ่งสือซันเรียกเขา “เจ้าเป็นอะไรรึ?”

อิ่งลิ่วเล่าเรื่องในห้องหนังสือให้อิ่งสือซันฟัง

“ได้การละ!” อิ่งสือซันทำตาโต แล้วรีบกลับเข้าไปในห้อง อิ่งลิ่วจึงเดินไป ผ่านไปชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง อิ่งสือซันก็ตามมา แล้วโยนถุงเงินหนักๆ ใส่อิ่งลิ่ว

อิ่งลิ่วชะงัก แต่อิ่งสือซันเดินไปโดยมิได้หันหลังกลับมามอง

……

วันต่อมา อวี๋หวั่นมาเพราะแสงสะท้อนวาววับ เมื่อเธอลืมตาขึ้น ก็พบว่าโต๊ะข้างหน้าต่างมีเงินหยวนเป่าวางอยู่แถวหนึ่ง

เอ๊ะ?

อวี๋หวั่นมองไปยังประตูห้องที่ปิดสนิท เธอมั่นใจว่าไม่มีใครเข้ามา แล้วเงินหยวนเป่าพวกนี้มาจากไหนกัน?

อวี๋หวั่นเลิกผ้าห่มออก ลงจากเตียง แล้วเดินไปยังโต๊ะตัวนั้น ใต้เงินหยวนเป่ามีกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่ บนกระดาษมีตัวอักษรหวัดตัวใหญ่เขียนว่า ‘มิต้องขอบคุณ!’

อวี๋หวั่นหลุดหัวเราะ

ผู้ชายคนนี้

คนไม่ทำการค้าย่อมไม่รู้ ธุรกิจยิ่งเติบโตขึ้นมากเท่าไร เงินก็ยิ่งไม่พอใช้มากเท่านั้น ไม่น่าแปลกเลยที่คนทำธุรกิจในโลกก่อนหน้ามักจะมีหนี้สิน หลังจากที่อวี๋หวั่นเก็บเงินให้เรียบร้อย ก็ไปปลุกเด็กทั้งสามคน

เด็กๆ นอนหงายอยู่บนเตียง มือของเสี่ยวเป่าจับเท้าข้างหนึ่งของเอ้อร์เป่า ขาอีกข้างของเอ้อร์เป่าดันท้องของต้าเป่า อวี๋หวั่นอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

เด็กน้อยน่ารักเช่นนี้ เติบโตมาอย่างราบรื่นก็จะดี

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]