อวี๋หวั่นนึกถึงเยี่ยนอ๋องผู้ชาญฉลาด ว่ากันว่าเขาก็เป็นคนที่มีพรสวรรค์มาตั้งแต่ยังเด็กเช่นกัน หรือว่าเด็กทั้งสามคนจะได้รับความฉลาดมาจากเขากัน?
เด็กน้อยทั้งสามไม่กลัวกบและแมลงอีกต่อไป เพราะอวี๋หวั่นบอกพวกเขาว่า สัตว์ตัวเล็กๆ เหล่านี้ไม่น่ากลัว ขณะที่อวี๋หวั่นจับกบตัวใหญ่สามตัวและตั๊กแตนตำข้าวอีกห้าตัว พวกเขาก็เชื่อแล้วว่าพวกมันไม่ได้น่ากลัว
อวี๋หวั่นเก็บพริกไทยป่า เด็กน้อยทั้งสามเก็บราสป์เบอร์รีอยู่ด้านข้าง พวกเขาเคยกินทั้งลูกสีเหลืองและแดง จึงรู้ว่าลูกสีแดงค่อนข้างหวาน จึงเก็บแต่ลูกสีแดงลูกใหญ่ แต่เก็บไปได้เพียงครู่เดียวก็ไปวิ่งจับกบซะแล้ว
อวี๋หวั่นไม่ได้พูดอะไร
จนพวกเขาจับงูแมวเซามาตัวหนึ่ง อวี๋หวั่นถึงกับตกใจกลัวจนแทบจะโยนตะกร้าทิ้ง!
บอกว่าไม่ต้องกลัวกบ แต่ใครให้พวกเขาไม่กลัวงูด้วยละ?!
อวี๋หวั่นรีบจับงูมา ไม่รู้ว่าเธอคิดไปเองหรือเปล่า แต่เธอรู้สึกเหมือนงูตัวนี้ถูกลูกๆ ของเธอเหวี่ยงจนมึนงงไปหมด…
หลังจากที่ตกใจกับงู อวี๋หวั่นก็ตัดสินใจลงจากเขา
ทั้งสามคนยังเล่นไม่หนำใจ ไม่อยากลงจากเขา
อวี๋หวั่นไม่ตามใจพวกเขา
โชคดีที่ถึงแม้พวกเขาไม่เต็มใจเท่าไรนัก แต่ก็ไม่ได้งอแง เดินลงเขากับอวี๋หวั่นไปแต่โดยดี
ครั้งนี้มาจับสัตว์เล็กๆ ไม่ได้เก็บผลไม้ไปมากเท่าไรนัก อวี๋หวั่นนำผลไม้ไปล้าง ใส่ชามเล็กสามใบ ทั้งสามใบมีผลไม้อยู่เพียงสามสี่ลูก ทั้งสามเลือกลูกที่แดงที่สุดและใหญ่ที่สุดป้อนให้อวี๋หวั่นกิน
จากนั้นพวกเขาก็ถือชามผลไม้เดินเข้าไปในห้องของนางเจียงและอวี๋เซ่าชิง เมื่อเดินออกมา ในชามก็เหลือเพียงลูกเดียว
พวกเขาชอบผลไม้ชนิดนี้ยิ่งนัก รสชาติเปรี้ยวอมหวาน กินไม่รู้เบื่อ แต่พวกเขาไม่หวงของ เรื่องนี้พวกเขาเก่งกว่าเธอมาก
เมื่อเด็กทั้งสามเห็นว่าอวี๋หวั่นมองไปยังผลไม้ในชาม จึงคิดว่าอวี๋หวั่นยังอยากกินอีก พวกเขาก็ชะงักไปประเดี๋ยวหนึ่ง แล้วส่งผลไม้ลูกสุดท้ายในชามให้อวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นลูบศีรษะพวกเขา “แม่ไม่กินแล้ว พวกเจ้ากินเถอะ”
ทั้งสามคนจึงจะงับผลไม้เข้าปาก
ผ่านไปสองชั่วยามแล้ว รถม้าของหอจุ้ยเซียนก็มาถึง วันนี้พวกเขาไม่เพียงจะขนเต้าหู้เหม็นไป แต่ยังจะขนหน่อไม้ดองไปด้วย ทั้งหมดเป็นจำนวนสองคันรถม้า รถม้าคันหนึ่งไปจอดที่บ้านเดิม อีกคันหนึ่งเคลื่อนมาจอดที่หน้าบ้านของอวี๋หวั่น
“แม่นางอวี๋!”
เป็นเสียงดังกังวานสดใสของนายท่านฉิน
อวี๋หวั่นเดินออกมาทักทาย หยอกล้อด้วยน้ำเสียงของนายท่านฉินว่า “ลมอะไรหอบนายท่านฉินมาถึงที่นี่?”
นายท่านฉินลงจากรถม้า ส่งสายตาแกมขุ่นเคืองให้อวี๋หวั่น “เจ้าล้อเลียนข้ารึ?”
อวี๋หวั่นเชิญเขาเข้าไปในบ้าน เด็กน้อยทั้งสามเข้าไปดูท่านน้าเถี่ยตั้นอ่านหนังสือในห้อง
นายท่านฉินได้ยินเสียงอ่านหนังสือ ก็เอ่ยถามด้วยความตกใจ “น้องเจ้าหรือ?”
อวี๋หวั่นพยักหน้า “ข้าจะส่งเขาไปสำนักการศึกษาในตำบล เขาต้องสอบผ่าน ถึงจะเข้าเรียนได้”
นายท่านฉินไม่ได้ถามว่าทำไมไม่เรียนในหมู่บ้าน
ในความคิดของเขา กิจการของอวี๋หวั่นเริ่มขยายใหญ่โต เงินไม่ได้ขาดมือ ก็ควรส่งเด็กเข้าไปเรียนในตำบล
อวี๋หวั่นเทชาให้นายท่านฉินถ้วยหนึ่ง
นายท่านฉินยกขึ้นมาดื่มหนึ่งคำ “วันนี้ข้ามาจ่ายค่าสินค้า”
ไม่เคยเห็นใครที่จ่ายค่าของเร็วขนาดนี้มาก่อน
ที่จริงนายท่านฉินก็ไม่ได้รวดเร็วเท่าคนอื่น แต่สินค้าของอวี๋หวั่นขายดีเป็นเทน้ำเทท่า หอจุ้ยเซียนแทบมีไม่พอขาย ถ้าไม่จำกัดไว้ที่หอจุ้ยเซียนเพียงที่เดียว เต้าหู้เหม็นและหน่อไม้ดองต้องทำขายไม่ทันอย่างแน่นอน
วันนี้ นอกจากมีจ่ายเงินกับอวี๋หวั่นแล้ว เขายังมาถามอวี๋หวั่นว่าเธอมีแผนเพิ่มปริมาณผลผลิตหรือไม่
อวี๋หวั่นตอบว่า “กล่าวอย่างไม่ปิดบัง ข้าซื้อเขาลูกนี้ไปแล้ว โรงงานต้องการกำลังคน บุกเบิกพื้นที่ก็ต้องใช้คน ชาวบ้านก็งานยุ่งจนแทบจะต้องแยกร่าง”
“เจ้าหาคนได้นี่!” นายท่านฉินบอก
อวี๋หวั่นครุ่นคิด เธอรู้สึกว่าวิธีนี้ใช้ได้ทีเดียว
เธอรู้สึกว่าธุรกิจกับหอจุ้ยเซียนยังไม่เพียงพอ ไม่ช้าก็เร็วโรงงานของเธอจะต้องขยายเป็นโรงงานใหญ่ การจ้างแรงงานเป็นเรื่องจำเป็น เธอยังต้องสร้างโรงอุ่นสำหรับหมักสินค้า ขุดบ่อปลา ทำไร่พืช ลำพังแรงงานที่มีอยู่ย่อมไม่พอ
“ข้าจะลองคิดดู” เธอบอก
“มันต้องอย่างนั้น!” นายท่านฉินยิ้มร่าด้วยความพอใจ เขาหยิบตั๋วแลกเงินจากอกเสื้อออกมา “เจ้าตรวจดูก่อนว่ามีตัวเลขใดผิดหรือไม่”
พูดจบ เขาก็เรียกสารถีรถม้า “หยิบลูกคิดมาให้ข้าหน่อย!”
“ไม่ต้องหรอก” อวี๋หวั่นคิดเองก็ไม่ได้ช้าไปกว่าลูกคิด เมื่อสารถีถือลูกคิดเข้ามา อวี่หวั่นก็ตรวจสอบตัวเลขเสร็จเรียบร้อยแล้ว “สามร้อยสิบแปดตำลึง ถูกต้อง”
หนึ่งเดือนทำเงินได้สามร้อยสิบแปดตำลึง ตอนที่ข้ามมิติมาแรกๆ อวี๋หวั่นไม่กล้าคิดถึงเงินมากถึงเพียงนี้ด้วยซ้ำไป เธอรับตั๋วแลกเงินมา “ขอบคุณนายท่านฉิน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]