เรื่องนี้ไม่อาจปิดบังซั่งกวนเยี่ยน นางก็มาเช่นกัน
“ฉงเอ๋อร์!”
เสียงของซั่งกวนเยี่ยนมาก่อนตัวคน
อวี๋หวั่นนั่งเช็ดหน้าให้เยี่ยนจิ่วเฉาอยูู่ข้างเตียง เมื่อได้ยินเสียงจึงวางผ้าลง ลุกขึ้นพร้อมกับยกถังน้ำไปวางบนชั้น
ซั่งกวนเยี่ยนเดินเข้ามาอย่างกระหืดกระหอบ ขอบตาของนางแดงก่ำ ดูแล้วน่าจะร้องไห้มาระหว่างทาง ก่อนเข้ามาในบ้านก็พยายามสงบสติอารมณ์แล้วครั้งหนึ่ง แต่เมื่อเข้ามาเห็นสภาพของเยี่ยนจิ่วเฉา นางก็ทนไม่ไหว ร้องไห้โฮออกมาอีก
เซียวเจิ้นถิงเดินเข้ามาด้านใน
ห้องนี้นับว่าโอ่อ่ากว้างขวาง แต่เมื่อบุรุษร่างกำยำสูงใหญ่ผู้นี้เข้ามา พื้นที่วางในห้องก็ดูเล็กลงไปถนัดตา
เขาแตะไหล่ซั่งกวนเยี่ยนเบาๆ “เจ้าอย่าเพิ่งร้องไห้ เด็กๆ จะตื่นเอา ให้หมอดูก่อนเถิด”
เสียงของเขามีความแหบพร่าโดยธรรมชาติ เมื่อพูดเสียงค่อยแล้วก็ยังไม่นับว่าเสียงเบา แต่ท่าทางระแวดระวังของเขา ทำให้ดูคล้ายกับเป็นอสูรผู้อ่อนโยน
ซั่งกวนเยี่ยนมองเยี่ยนจิ่วเฉา แล้วก็มองไปยังเด็กๆ ที่กำลังหลับสนิท นางหยุดร้องไห้ จากนั้นเซียวเจิ้นถิงก็พยุงนางไปอยู่ด้านข้าง
“เข้ามาเถอะ” เซียวเจิ้นถิงมองไปยังปากประตู
เสียงนี้เต็มไปด้วยความน่าเกรงขามของอสูร
หมอท่านหนึ่งซึ่งมีหนวดเคราสีขาวถือล่วมยาเข้ามา
เขาไม่ใช่หมอหลวง เซียวเจิ้นถิงเฟ้นหาหมอชาวบ้านมา เขาเชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคที่รักษายาก ยาที่เยี่ยนจิ่ วเฉาใช้มาตลอดหลายปี เขาก็เป็นคนทำ
อวี๋หวั่นยืนเงียบๆ อยู่ด้านหน้าชั้น ไม่มีใครบอกให้เธอออกไปจากห้อง ราวกับไม่ได้สังเกตเห็นเธอ เธอจึงยืนรออยู่ในห้องทั้งต่อไป
หมออาวุโสท่านนี้มีฝีมือ เขาฝังเข็มให้เยี่ยนจิ่วเฉา ตาของเยี่ยนจิ่วเฉาซึ่งเบิกโพลงอยู่ก็ปิดลง
เมื่อเทียบกับการที่เขาไม่กะพริบตาราวกับไร้วิญญาณ หลับตาลงไปเช่นนี้ทำให้รู้สึกสบายใจกว่า
แต่อวี๋หวั่นเข้าใจว่าอาการป่วยของเขา จะทำอย่างไรก็ไม่ต่างกัน
หมออาวุโสจับชีพจรของเยี่ยนจิ่วเฉาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อตรวจวินิจฉัยเสร็จ เขาก็ลูบหนวด แล้วถอนหายใจยาวๆ
“มีอะไรหรือท่านหมอจง? ลูกข้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ซั่งกวนเยี่ยนถามอย่างสะอึกสะอื้น
หมออาวุโสประสานมือ แล้วกล่าวอย่างจนปัญญาว่า “อาการของคุณชายไม่สู้ดีนัก”
“มะ…ไม่สู้ดีอย่างไร?” ซั่งกวนเยี่ยนถามอย่างร้อนรน
“เหลือเวลาไม่มากแล้ว” หมอตอบอย่างอับจนหนทาง
ซั่งกวนเยี่ยนรู้สึกว่าภาพตรงหน้าดับวูบ แล้วนางก็ล้มลง
เซียวเจิ้นถิงเข้ามาพยุงนางได้ทัน ทำให้นางไม่ล้มลงกระแทกพื้น
ซั่งกวนเยี่ยนน้ำตาไหลพราก “…ไม่ได้เหลืออีกสองปีหรอกหรือ…เขาเพิ่งจะอายุยี่สิบสาม…”
อวี๋หวั่นขมวดคิ้ว ก็หมายความว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง อวี้จื่อกุยไม่ได้โกหก เยี่ยนจิ่วเฉาจะอยู่ไม่ถึงอายุยี่สิบห้า…
หมออาวุโสกล่าวว่า “นั่นเป็นกรณีที่ดีที่สุด แต่ ‘โรค’ ชนิดนี้ อาการจะทรุดลงเมื่อใดก็ได้”
มีชีวิตอยู่ได้อีกสองสามวันก็นับว่าสวรรค์เมตตาแล้ว แน่นอนว่าเขาไม่ได้พูดประโยคนี้ออกไป ในฐานะที่เขาเป็นหมอซึ่งจัดยาให้เยี่ยนจิ่วเฉามาตลอดสิบกว่าปี เรื่องนี้เขากระจ่างกว่าผู้ใด อาการของเยี่ยนจิ่วเฉาทรุดลงทุกปี ปริมาณยาที่เขาต้องใช้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนปีนี้ก็ไม่สามารถเพิ่มยาได้มากกว่านี้แล้ว มิเช่นนั้นยาจะให้ผลตรงกันข้าม กลายเป็นยาพิษ
ซั่งกวนเยี่ยนร่ำไห้จนหมดสติไป
เซียวเจิ้นถิงอุ้มนางไปยังห้องข้างๆ
อวี๋หวั่นก็เป็นแม่คนเหมือนกัน เธอเข้าใจซั่งกวนเยี่ยนดี
หมออาวุโสเดินกลับไปหยิบยาบนรถม้า เขาจะให้เยี่ยนจิ่วเฉาอาบยา
เรื่องนี้พวกเขาทำอะไรไม่ได้ แต่ก็ต้องทำเพื่อปลอบใจซั่งกวนเยี่ยน
น้ำในกะละมังเย็นแล้ว อวี่หวั่นไปยกมาจากในครัวอีกหนึ่งกะละมัง และเช็ดหน้าให้เยี่ยนจิ่วเฉาต่อ
“เขาถูกคำสาป”
เสียงของเซียวเจิ้นถิงดังก้องขึ้นจากด้านหลังของอวี๋หวั่น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]