พวกเขารออยู่ที่นั่นจนพลบค่ำ สตรีพิษน่าจะถอนคำสาปให้เยี่ยนจิ่วเฉาเสร็จแล้ว พวกเขาจึงเดินทางกลับหมู่บ้านไป
เมื่อพวกเขาเข้าไปในบ้าน ก็ได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง จากนั้นก็เห็นรอยเลือดกองใหญ่ซึ่งดูคล้ายกับยังเช็ดไม่หมด รอยเลือดนั้นหยดเป็นทางไปถึงห้องของสตรีพิษ
ปรมาจารย์รีบเดินเข้าไป
เดิมทีสตรีพิษหมดสติอยู่บนพื้น อิ่งสือซันรู้สึกขัดตาจึงพานางไปนอนบนเตียงของนาง และแน่นอนว่าเขาไม่อาจสวมเสื้อผ้าให้นางได้ จึงทำได้เพียงใช้ผ้าห่มคลุมให้ลวกๆ
ปรมาจารย์ไม่รู้ว่าบนร่างของลูกศิษย์ไม่มีเสื้อผ้าอาภรณ์ปกปิด จึงดึงผ้าออก ทันใดนั้นเขาก็ถึงกับตกตะลึง
“ฉงเอ๋อร์!” ซั่งกวนเยี่ยนวิตกว่าเยี่ยนจิ่วเฉาพบกับเรื่องไม่คาดฝัน จึงก้าวเท้าหมายจะรีบไปยังห้องของเยี่ยนจิ่วเฉา
เซียวเจิ้นถิงหยุดนางไว้ แล้วเดินเข้าไปก่อน
ในห้อง แสงจากตะเกียงริบหรี่ดุจเมล็ดถั่ว
เยี่ยนจิ่วเฉานอนอยู่บนเตียง หลังพิงกับหมอน บนขามีผ้าห่มคลุมอยู่
กลิ่นของยาปลุกกำหนัดจางไปนานแล้ว อิ่งสือซันและอิ่งลิ่วก็เก็บกวาดห้องเรียบร้อยแล้ว จนมองไม่ออกว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น
เซียวเจิ้นถิงไม่คิดว่าเยี่ยนจิ่วเฉาจะตื่นอยู่ จึงไปสบตากับเขาเข้าโดยไม่ทันตั้งตัว หัวใจของเขาบีบเค้นแน่น “ฉะ…ฉงเอ๋อร์”
เยี่ยนจิ่วเขามิได้สนใจ เขาหันหน้ากลับไป และยังคงนั่งเงียบ
เมื่อเห็นว่าเขาไม่เป็นไร เซียวเจิ้นถิงก็พลอยโล่งใจ
เซียวเจิ้นถิงรู้ว่าเยี่ยนจิ่วเฉาไม่ยินดีที่เห็นเขาอยู่ที่นี่ จึงรีบหันหลังเดินออกไป
เขาเดินไปข้างหน้าซั่งกวนเยี่ยน แล้วพยักหน้ากับนาง “ฉงเอ๋อร์ฟื้นแล้ว เจ้าเข้าไปดูเถิด”
ซั่งกวนเยี่ยนกระวีกระวาดเข้าไปยังเตียงของเยี่ยนจิ่วเฉา
“ฉงเอ๋อร์ เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง?”
นางถามพลางนั่งลงบนขอบเตียง ยกมือขึ้นมาแตะหน้าผากของเยี่ยนจิ่วเฉา “เหตุใดเจ้าไม่พูดเล่า? ไม่สบายตรงไหนหรือ? เจ้าหมดสติไปหลายวัน หิวหรือไม่? แม่จะไปทำอะไรให้เจ้ากิน”
ซั่งกวนเยี่ยนอยู่ในจวน นางไม่เคยต้องทำสิ่งใดเอง ทว่าตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ มีสิ่งใดล้วนต้องทำเอง นางเรียนรู้การทำอาหารเล็กๆ น้อยๆ จากสตรีในหมู่บ้าน รสชาตินับว่าพอกินได้
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ตอบ
บรรยากาศในห้องพลันน่าอึดอัดใจขึ้นมา
ซั่งกวนเยี่ยนนึกบางอย่างออก จึงถามว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้น? ด้านนอกมีรอยเลือด มีมือสังหารเข้ามาหรือ? เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?”
ซั่งกวนเยี่ยนไม่ได้ถามว่าได้ทำอะไรกับสตรีพิษแล้วหรือยัง
สำหรับนางแล้ว ลูกชายป่วยหนักถึงเพียงนี้ เขาฟื้นขึ้นมาได้ อีกทั้งพลังหยินหยางยังปรับสมดุลแล้ว เพียงเท่านี้ก็นับว่าคุ้มค่า
“ข้าจะไปทำอะไรให้เจ้ากิน” ซั่งกวนเยี่ยนลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปยังประตู
ทว่ายังเดินไปได้สองก้าว เยี่ยนจิ่วเฉาก็เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ฮูหยินเซียว คราวหน้าคราวหลังอย่าตัดสินใจแทนข้าอีก”
ซั่งกวนเยี่ยนปวดแปลบที่หัวใจ การที่เยี่ยนจิ่วเฉาโมโหมิได้อยู่เหนือความคาดหมายของนาง นางรู้ว่าหากเยี่ยนจิ่วเฉาได้สติอยู่ เขาต้องไม่เห็นด้วยกับการใช้สตรีพิษมาถอนคำสาปให้อย่างแน่นอน แม้จะรู้ว่าเขาไม่ชอบ แต่นางก็ยังทำเช่นนั้น เหตุผลก็คือนางเป็นแม่ของเขา นางต้องช่วยเขา! ต่อให้วันนี้เขาจะกล่าวโทษนางก็ตาม หากต้องให้เลือกอีกครั้ง นางก็ยังจะตัดสินใจแบบเดิม
“เจ้าอยากกินโจ๊กหรือไม่? หรือว่าอยากกินหมี่?” ซั่งกวนเยี่ยนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงปกติ
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ข้าฟื้นแล้ว พวกท่านไม่จำเป็นต้องเสียเวลาอยู่ที่นี่”
ซั่งกวนเยี่ยนอ้าปากพะงาบ นางกำลังจะพูดอะไรสักอย่าง ก็เห็นอิ่งสือซันพาลุงวั่นเข้ามา
“พระชายา” ลุงวั่นทักทายอย่างมีมารยาท
หลายวันมานี้ซั่งกวนเหยียนให้ลุงวั่นอยู่ในจวน เพื่อให้ตนเองได้ดูแลเยี่ยนจิ่วเฉา บัดนี้เยี่ยนจิ่วเฉาเชิญลุงวั่นมา ก็เพื่อบอกให้นางรู้ว่า ที่นี่มิใช่ธุระกงการของนางอีกต่อไป
“ดูแลคุณชายให้ดี” ซั่งกวนเยี่ยนบอกลุงวั่น แล้วกลับเมืองหลวงไปกับเซียวเจิ้นถิง
ทั้งสองกลับเมืองหลวงไปก็เพราะคิดว่าสตรีพิษได้ถอนคำสาปให้เยี่ยนจิ่วเฉาเรียบร้อยแล้ว จากนั้นจึงเตรียมเงินเอาไว้ รอให้ปรมาจารย์มารับเงิน
อีกห้องหนึ่ง สตรีพิษก็ฟื้นขึ้น
ปรมาจารย์ให้นางสวมเสื้อผ้าเสียก่อน จากนั้นจึงไต่ถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น “…เป็นปรมาจารย์วิชาพิษอีกคนหนึ่งมาหาเรื่องหรือ?”
สตรีพิษส่ายหน้าพลางสะอึกสะอื้น “ไม่ใช่เจ้าค่ะ แต่เป็นเยี่ยนจิ่วเฉา!”
ปรมาจารย์ไม่คิดไม่ฝันว่าผู้ที่ทำร้ายศิษย์รักของเขาจะเป็นเยี่ยนจิ่วเฉาไปได้ เขาอ่อนแอถึงเพียงนั้น จะมีแรงทำร้ายนางได้อย่างไร? อีกอย่าง เขาให้ยาปลุกกำหนัดแก่เยี่ยนจิ่วเฉามากเป็นสองเท่า เพื่อให้เขาคงประสิทธิภาพได้นาน ยาไม่ได้ทำให้เขามีความปรารถนาบ้างเลยหรือ?
เขาทนได้อย่างไรกัน?
“เขาไม่ชอบเจ้ารึ?” ปรมาจารย์ถาม
เยี่ยนจิ่วเฉาเป็นเชื้อพระวงศ์แห่งต้าโจว จะไม่เคยเห็นหญิงงามได้อย่างไร ลูกศิษย์ของเขาก็งดงามพอสมควร แต่เกรงว่าก็ยังไม่อยู่ในสายตาของเขา
สตรีพิษไหนเลยจะยอมรับว่าตนไม่มีเสน่ห์มากพอ
นางเล่าเรื่องที่อวี๋หวั่นมีหนอนพิษซึ่งแข็งแกร่งมากอยู่ในร่างให้อาจารย์และศิษย์พี่ฟัง
แน่นอนว่านางไม่ได้เล่าเรื่องที่ตนลอบโจมตีอวี๋หวั่น เพียงแต่บอกว่าตนแกล้งหมดสติ จึงได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่
อันที่จริง นางไม่รู้ว่าทั้งสองคุยอะไรกัน แต่นางรู้ดีว่าไม่ว่าอย่างไรอาจารย์ก็จะไม่ไปหาเรื่องเยี่ยนจิ่วเฉาและอวี๋หวั่น เพราะฉะนั้นจึงปัดความผิดทั้งหมดไปให้พวกเขา
ปรมาจารย์เอ่ยถามด้วยความเคลือบแคลงใจ “เจ้าไม่ได้โกหกข้าใช่ไหม? เจ้าเพิ่งรู้เรื่องวันนี้จริงหรือ?”
“ข้าสาบานได้!” สตรีพิษยกมือขึ้นมา
ปรมาจารย์ให้ความสำคัญกับคำสาบาน แต่สตรีพิษมิได้เป็นเช่นนั้น กระนั้นเขาก็คิดว่านางจะเป็นเหมือนเขา จึงเลือกที่จะเชื่อใจนาง
ประสาทสัมผัสของปรมาจารย์ว่องไวต่อกลิ่นของหนอนพิษ แต่เขากลับไม่รู้สึกถึงกลิ่นของมันจากเด็กคนนั้น อาจเป็นเพราะลูกศิษย์ของเขาฟังผิด แท้จริงแล้วเด็กคนนั้นไม่ได้มีหนอนพิษอยู่ในร่าง หรือไม่ก็เป็นเพราะราชันสัตว์พิษตัวนั้นแข็งแกร่งเสียจนสามารถอำพรางกลิ่นได้
“นางไม่ได้เป็นแค่สตรีชาวบ้านธรรมดาหรอกหรือ? จะไปมีราชันสัตว์พิษได้อย่างไรกัน?” ปรมาจารย์พึมพำ “ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าไม่เข้าใจ หากนางมีหนอนพิษที่แข็งแกร่งกว่าหนอนพิษของเจ้า เหตุใดไม่บอกตั้งแต่แรก?”
ก็เพราะนางไม่รู้น่ะสิ สตรีพิษนัยน์ตาเป็นประกายวูบหนึ่ง “อาจารย์ ข้าไม่รู้”
“หรือว่า…ที่จริงแล้วนางไม่อยากช่วยเยี่ยนจิ่วเฉา?” ศิษย์ชายพูด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]